
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 7-10 ก.ย. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ภาวนาคือการหาความรู้ในตัวเอง เรียนรู้ตรงๆ ถ้าเรามีความตั้งมั่น เดินภาวนาเป็นแล้วอยู่ที่ไหนก็ได้
ถ้าทานไม่ตั้งขึ้นที่ใจ ใจจะตั้งมั่นยาก จิตต้องมีฉันทะในการให้เป็นกำลัง จึงเกิดความตั้งมั่นได้ง่าย
มีความสุขกับการให้ทาน ให้แบบไม่เบียดเบียนตนเองและใคร ให้โดยไม่มีเงื่อนไข ฉันทะในทานที่มีโดยธรรมชาติ ความปราโมทย์จะเกิดขึ้นในใจ
การให้ทาน ทำให้ปราโมทย์ที่เป็นธรรมชาติเกิดขึ้น และปราโมทย์นั้นทำให้เข้าสู่ความตั้งมั่น
ทานที่มีกำลังสูงสุดคืออภัยทาน ต้องมีฉันทะในนั้น และปลูกอนุโมทนาไว้เสมอ มีฉันทะกับการอนุโมทนาสาธุกับความดี ทานที่คนอื่นทำ ตัวนี้ก็จะก่อให้เกิดความปราโมทย์อย่างเป็นธรรมชาติและดับความริษยา อาฆาตแค้น ละลายความขุ่นเคืองได้
พระพุทธเจ้าสอนให้เจริญ ทาน(สร้างปราโมทย์) ศีล(ปลดเปลื้องภาระ) ภาวนา เอื้อต่อความตั้งมั่น
อาสีวิสสูตร มีบุคคลหนึ่งเป็นคนที่รักชีวิต รักสุขเกลียดทุกข์อยากอยู่อย่างมีความสุข หนีด้วยความกลัว ๔ อสรพิษ นักฆ่า ๕ คน นักฆ่าที่บินได้ หมู่โจรที่บ้านร้าง ไปสุดถึงห้วงน้ำ ด้วยความกลัวจึงไม่ย้อนหลัง ฝั่งที่ตนอยู่น่ารังเกียจ มีทางเดียวคือต้องข้ามห้วงน้ำไปอีกฝั่ง เมื่อไม่มีเรือจึงถอนกอไม้กิ่งไม้ท่อนไม้มัดผูกเป็นแพ ออกแรงถ่อพายแพข้ามฝั่ง ในที่สุดก็ขึ้นไปสู่อีกฝั่งได้สำเร็จ
อสรพิษทั้ง๔ คือ มหาภูตรูป ธาตุ๔ ที่พร่องอยู่เป็นนิจ พร้อมที่จะแตกสลาย
นักฆ่าทั้ง๕ คือ อุปาทานขันธ์๕ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง๕ เป็นสภาวะที่มีการเกิดดับตลอดเวลา
นักฆ่าที่บินได้ คือ นันทิราคะ ความติดใจ ความพอใจในความเพลิดเพลินยินดีในเรื่องต่างๆทั้งอดีตและอนาคต คือกรงขนาดใหญ่ที่ขังเราไว้
หมู่โจรคืออายตนะ๖ ตาจะเดือดร้อนเพราะมีรูปมากระทบ สิ่งที่มากระทบแล้วทำให้เดือดร้อนคือหมู่โจร
ห้วงน้ำคือโอฆะ๔ คือ กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา (กามโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ)
การต่อแพออกแรงพายข้ามน้ำคือ ความเพียร วิริยะ ตัวแพคืออริยมรรค
เมื่อไปถึงฝั่งคือ พระนิพพาน เมื่อถึงฝั่งแล้วก็พ้นจากความกลัว
ให้นักภาวนามองลงไปที่กายใจของตนเอง มองเห็นธาตุ๔ของตน พิจารณาอาการ๓๒ต่างๆพร้อมที่จะแตกสลายตลอดเวลา ขันธ์๕ทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการสักอย่าง นันทิราคะ ความหลงผิดติดใจ ถ้าเราเห็นภัยจากสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นโทษ จึงต้องรีบหลีกหนีไปให้พ้น โดยเจริญมรรค สติปัฏฐาน รู้ตรงต่อลมหายใจที่เป็นธรรมชาติอย่างเนื่อง
ดูสภาวะของตนเอง ดูว่าเมื่อตัวรู้อยู่ที่ฐานกับลมกับกาย มีความตั้งมั่น ความกระสับกระส่ายไม่เกิดขึ้น จิตมีอารมณ์อันเดียว มีความตั้งมั่น รู้ที่ตั้งอยู่ขณะนั้นจะเห็นความเป็นจริงของสภาวะที่ปรากฏ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ความตั้งมั่นที่มีในฐานของรู้กำลังมากขึ้น รู้จะตรงต่อความเป็นจริงเห็นชัดเจนมากขึ้น เกิดคุณสมบัติสองอย่าง คือ กามวิเวกและอกุศลวิเวก
กามวิเวกคือ อาหารที่จิตสงัดออกมาจากกาม นั่นหมายความว่ายุตินันทิราคะทันที จิตสงัดจากสิ่งที่ชอบ
อกุศลวิเวก คือ จิตจะสงบตัวจากอกุศลทั้งหมด
ตรวจสอบสภาวะของตนเอง พิจารณาขณะที่ภาวนา รู้อยู่กับความตั้งมั่น ดูสิ่งที่ถูกรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีเราเข้าไปแทรกแซงและมีการเพียรรู้อย่างต่อเนื่อง จิตจะยุติจากการไหลไปหาสิ่งที่ชอบ และเมื่อกามวิเวก อกุศลวิเวกเกิด ความบริสุทธิ์แห่งจิต ณ ขณะนั้นจะผ่องแผ่วขึ้นมายิ่งขึ้น จะทำให้เห็นความเป็นจริงที่ละเอียดยิ่งขึ้น ตรงนี้เรียกความสงบ คือความผ่องแผ้วแห่งจิตที่มีรู้เป็นอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของอะไรเลย เป็นอิสระตามธรรมชาติตามกำลังของความเพียร
รู้ที่เป็นอิสระ ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ ตัวสิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช้สิ่งที่เราเข้าไปกำหนด มันปรากฏของมันขึ้นมาเอง มันแสดงของมันเอง ตัวรู้แค่รู้อาการของกายที่แสดงออก
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 7-10 ก.ย. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ภาวนาคือการหาความรู้ในตัวเอง เรียนรู้ตรงๆ ถ้าเรามีความตั้งมั่น เดินภาวนาเป็นแล้วอยู่ที่ไหนก็ได้
ถ้าทานไม่ตั้งขึ้นที่ใจ ใจจะตั้งมั่นยาก จิตต้องมีฉันทะในการให้เป็นกำลัง จึงเกิดความตั้งมั่นได้ง่าย
มีความสุขกับการให้ทาน ให้แบบไม่เบียดเบียนตนเองและใคร ให้โดยไม่มีเงื่อนไข ฉันทะในทานที่มีโดยธรรมชาติ ความปราโมทย์จะเกิดขึ้นในใจ
การให้ทาน ทำให้ปราโมทย์ที่เป็นธรรมชาติเกิดขึ้น และปราโมทย์นั้นทำให้เข้าสู่ความตั้งมั่น
ทานที่มีกำลังสูงสุดคืออภัยทาน ต้องมีฉันทะในนั้น และปลูกอนุโมทนาไว้เสมอ มีฉันทะกับการอนุโมทนาสาธุกับความดี ทานที่คนอื่นทำ ตัวนี้ก็จะก่อให้เกิดความปราโมทย์อย่างเป็นธรรมชาติและดับความริษยา อาฆาตแค้น ละลายความขุ่นเคืองได้
พระพุทธเจ้าสอนให้เจริญ ทาน(สร้างปราโมทย์) ศีล(ปลดเปลื้องภาระ) ภาวนา เอื้อต่อความตั้งมั่น
อาสีวิสสูตร มีบุคคลหนึ่งเป็นคนที่รักชีวิต รักสุขเกลียดทุกข์อยากอยู่อย่างมีความสุข หนีด้วยความกลัว ๔ อสรพิษ นักฆ่า ๕ คน นักฆ่าที่บินได้ หมู่โจรที่บ้านร้าง ไปสุดถึงห้วงน้ำ ด้วยความกลัวจึงไม่ย้อนหลัง ฝั่งที่ตนอยู่น่ารังเกียจ มีทางเดียวคือต้องข้ามห้วงน้ำไปอีกฝั่ง เมื่อไม่มีเรือจึงถอนกอไม้กิ่งไม้ท่อนไม้มัดผูกเป็นแพ ออกแรงถ่อพายแพข้ามฝั่ง ในที่สุดก็ขึ้นไปสู่อีกฝั่งได้สำเร็จ
อสรพิษทั้ง๔ คือ มหาภูตรูป ธาตุ๔ ที่พร่องอยู่เป็นนิจ พร้อมที่จะแตกสลาย
นักฆ่าทั้ง๕ คือ อุปาทานขันธ์๕ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง๕ เป็นสภาวะที่มีการเกิดดับตลอดเวลา
นักฆ่าที่บินได้ คือ นันทิราคะ ความติดใจ ความพอใจในความเพลิดเพลินยินดีในเรื่องต่างๆทั้งอดีตและอนาคต คือกรงขนาดใหญ่ที่ขังเราไว้
หมู่โจรคืออายตนะ๖ ตาจะเดือดร้อนเพราะมีรูปมากระทบ สิ่งที่มากระทบแล้วทำให้เดือดร้อนคือหมู่โจร
ห้วงน้ำคือโอฆะ๔ คือ กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา (กามโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ)
การต่อแพออกแรงพายข้ามน้ำคือ ความเพียร วิริยะ ตัวแพคืออริยมรรค
เมื่อไปถึงฝั่งคือ พระนิพพาน เมื่อถึงฝั่งแล้วก็พ้นจากความกลัว
ให้นักภาวนามองลงไปที่กายใจของตนเอง มองเห็นธาตุ๔ของตน พิจารณาอาการ๓๒ต่างๆพร้อมที่จะแตกสลายตลอดเวลา ขันธ์๕ทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการสักอย่าง นันทิราคะ ความหลงผิดติดใจ ถ้าเราเห็นภัยจากสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นโทษ จึงต้องรีบหลีกหนีไปให้พ้น โดยเจริญมรรค สติปัฏฐาน รู้ตรงต่อลมหายใจที่เป็นธรรมชาติอย่างเนื่อง
ดูสภาวะของตนเอง ดูว่าเมื่อตัวรู้อยู่ที่ฐานกับลมกับกาย มีความตั้งมั่น ความกระสับกระส่ายไม่เกิดขึ้น จิตมีอารมณ์อันเดียว มีความตั้งมั่น รู้ที่ตั้งอยู่ขณะนั้นจะเห็นความเป็นจริงของสภาวะที่ปรากฏ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ความตั้งมั่นที่มีในฐานของรู้กำลังมากขึ้น รู้จะตรงต่อความเป็นจริงเห็นชัดเจนมากขึ้น เกิดคุณสมบัติสองอย่าง คือ กามวิเวกและอกุศลวิเวก
กามวิเวกคือ อาหารที่จิตสงัดออกมาจากกาม นั่นหมายความว่ายุตินันทิราคะทันที จิตสงัดจากสิ่งที่ชอบ
อกุศลวิเวก คือ จิตจะสงบตัวจากอกุศลทั้งหมด
ตรวจสอบสภาวะของตนเอง พิจารณาขณะที่ภาวนา รู้อยู่กับความตั้งมั่น ดูสิ่งที่ถูกรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีเราเข้าไปแทรกแซงและมีการเพียรรู้อย่างต่อเนื่อง จิตจะยุติจากการไหลไปหาสิ่งที่ชอบ และเมื่อกามวิเวก อกุศลวิเวกเกิด ความบริสุทธิ์แห่งจิต ณ ขณะนั้นจะผ่องแผ่วขึ้นมายิ่งขึ้น จะทำให้เห็นความเป็นจริงที่ละเอียดยิ่งขึ้น ตรงนี้เรียกความสงบ คือความผ่องแผ้วแห่งจิตที่มีรู้เป็นอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของอะไรเลย เป็นอิสระตามธรรมชาติตามกำลังของความเพียร
รู้ที่เป็นอิสระ ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ ตัวสิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช้สิ่งที่เราเข้าไปกำหนด มันปรากฏของมันขึ้นมาเอง มันแสดงของมันเอง ตัวรู้แค่รู้อาการของกายที่แสดงออก