
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 20-23 มิ.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหารถ้าใครจะปฎิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักจิต ลงไปไม่ถึงจิต ก็จะเข้าไปในเส้นทางไม่ได้ แต่จิตที่เป็นดั้งเดิมเขามีอวิชชา อวิชชาเป็นตัวที่ทําให้เกิดการไม่รู้ เพราะจิตตสังขารเป็นความไม่รู้ เราก็แค่รู้มัน แล้วเรายังต้องทําอยู่อย่างเดิมหรือเปล่า? เรายังต้องคิดอยู่หรือเปล่า? มันก็คิดอยู่เหมือนเดิม แต่มันรู้
ฟังเรื่องนี้ต้องถอยจิตกลับไปให้ดีนะ กลับไปสู่ตั้งต้นของความเป็นมโนธาตุให้ดี ถอยจิตกลับไปสู่ความเป็นมโนธาตุ คือ มันเป็นเพียงแค่ธาตุรู้ แล้วมันไม่มีอะไรเลย มันสัมผัสต่อสิ่งแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง มันแค่รู้ว่ามันเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วมันไม่เอาอะไร แต่อํานาจของอวิชชาที่มีอยู่ มันเกิดการปรุงแต่งให้เกิดความเชื่อ แล้วก็บัญญัติสิ่งต่างๆขึ้นมาให้เกิดเป็นอาคันตุกะจรเข้ามาห้อมล้อมจิต พอห้อมล้อมแล้วทุกอย่างมันจึงเป็นเรื่องเป็นราว มีอยู่เป็นตัวเป็นตน โดยความเชื่อที่มาจากอวิชชา
การที่จะพ้นจากทุกข์ได้ จะต้องถอยกลับไปให้สุด ถึงจุดที่เป็นมโนธาตุ ที่เป็นจิตล้วนๆ ที่มันไม่มีอะไรเลย แล้วตั้งมั่นมีสติแลอยู่ รู้ทุกอย่างแต่ไม่เอาอะไรสักอย่าง ไม่เชื่อ ไม่มีความเชื่ออะไรในสัญญานั้นๆ อันนี้เรียก รู้ตัวทั่วพร้อม เรียกว่า สมฺปชานการี
ถ้าถอยกลับไปให้สุด ในความเชื่อแต่ละอย่างๆที่เราพูดมันไม่มีอยู่จริง พอถอยกลับไปที่สุดมันไม่มีอยู่จริง เวลาจิตเข้าไปรับรู้แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง รับรู้ตรงๆมันก็แค่สิ่งๆหนึ่ง ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดมา ที่ปรากฏขึ้นมาแล้วก็ผ่านไป
ถ้าจิตอาศัยอายตนะ อาศัยตาสําหรับที่จะดูอะไร เห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง มันก็เห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ปรากฏว่าเห็น แล้วก็รู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาก็รู้อยู่แค่นั้นเอง แต่อํานาจของอวิชชา และนําพาไปจนสู่การปรุงแต่ง บัญญัติออกมาเป็นชื่อจํา จนเกิดการชอบ การไม่ชอบ ยินดี พอใจ ยึดครอง ออกมาเป็นความเป็นของตัว ความเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นมาอีกเยอะแยะมากมาย จากการเห็น จากการได้ยิน จากการได้กลิ่น จากการได้สัมผัส
ถ้าเราเข้าถึงความเป็นมโนธาตุของใจที่เป็นตัวจิต ที่บอกว่าคําของพระพุทธเจ้าต้องลงไปที่จิต เข้าไปให้ถึงจิต มันมีแต่ตัวที่เข้ามาปรุงแต่งให้เกิดเป็นความเชื่อในแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง แล้วมันก็กระชากลากพาเราเข้าไปหมุนวนอยู่ใน ๓๑ ภพภูมิ ถอยออกมาไม่ได้ แล้วก็ไปสุดอยู่ที่ทุกข์ ถ้าจะพ้นทุกข์มันจะต้องทําความเข้าใจเรื่องอย่างนี้ในโลกของสมมุติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
สตฺตา นาม ภิกฺขเว วฏฺเฏ วิจรนฺตา อปฺปมตฺตา ปุญฺญํปิ กโรนฺตา ปมตฺตวา ปุญฺญํปิ กโรนฺติ
ในโลกของสมมุติที่มันท่องกันอยู่ในสังสารวัฏนี้ ในขณะที่ไม่ประมาทอยู่ ก็ทําในสิ่งที่ดี พอประมาทก็ทําในสิ่งที่ไม่ดี ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีมาจากความเชื่อในสิ่งนั้น และความเชื่ออันนั้นมาจากอวิชชา ที่ไม่รู้ในความไม่มีอยู่ของสิ่งนั้น
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือว่า การรู้ถึงสิ่งทั้งหลายว่ามันไม่มีอยู่จริง อะไรๆมันก็ไม่มีอยู่จริง แต่มันต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ด้วยจิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระแล้วมีสติแลอยู่ มันจึงจะลงใจได้นะ ถ้าเราแค่คิดตามอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าคิดตามอย่างเดียวก็ได้แค่ความเข้าใจ มันไม่ลงใจ มันจึงไม่เป็น เอโกทิโภติ ไม่เกิดความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างความเข้าใจกับความเป็นจริง ไม่เป็นเอโกทิภาวะ มันต้องเป็น เอโกทิโภติ คือ เกิดความเป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา ต้องคงที่ แน่วแน่ แล้วก็เกิดความเป็นหนึ่งเดียว ตั้งมั่น อย่างนั้น ระหว่างความเข้าใจกับความเป็นจริง ระหว่างความรู้กับความเป็นจริง
แม้แต่มันจะเคลื่อนไหวไปตามสมมุติบัญญัติตามกระแสของโลกมันก็ทําไปตามปกติ แต่มันรู้อยู่ว่ามันไม่มีอยู่จริง ทําได้ตามกระแสโลก ตามบัญญัติของมัน มันเปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆ มันไม่ทุกข์แล้ว
ที่ไม่ทุกข์ หมายความว่า ทุกข์นั้นมีอยู่แต่มันรู้ เวลามันรู้ก็เหมือนกับไม่ทุกข์ รู้ก็คือไม่ทุกข์ จิตที่มีอยู่จะไม่จมไปกับความทุกข์นั้น ทุกข์ที่พูดถึงนี่ ไม่ใช่ว่าการเจ็บใจ ปวดใจ ทุกข์ทรมาน ไม่ใช่นะ ทุกข์ที่พูดถึงนี่คือ การเสื่อมสิ้นพิบัติแปรปรวน เป็นทุกข์ที่มาจากอนิจจัง ทุกข์จริงๆมันไม่ใช่ทุกข์ทรมาน เพราะทุกคนจะมีทุกข์เหมือนกันหมดเลย ทุกข์ที่มาจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกขัง นั่นคือทุกข์เหมือนกันหมด
แต่ถ้าจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้จะต้องนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ จิตจะต้องมีความตั้งมั่นแล้วมีสติแลอยู่ จึงเป็นปัญญาในชั้นที่ชื่อว่า เอโกทิโภติ คือ เกิดเป็นความเป็นหนึ่งเดียวของความรู้และความจริง
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร #รู้ตัวทั่วพร้อม
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 20-23 มิ.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหารถ้าใครจะปฎิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักจิต ลงไปไม่ถึงจิต ก็จะเข้าไปในเส้นทางไม่ได้ แต่จิตที่เป็นดั้งเดิมเขามีอวิชชา อวิชชาเป็นตัวที่ทําให้เกิดการไม่รู้ เพราะจิตตสังขารเป็นความไม่รู้ เราก็แค่รู้มัน แล้วเรายังต้องทําอยู่อย่างเดิมหรือเปล่า? เรายังต้องคิดอยู่หรือเปล่า? มันก็คิดอยู่เหมือนเดิม แต่มันรู้
ฟังเรื่องนี้ต้องถอยจิตกลับไปให้ดีนะ กลับไปสู่ตั้งต้นของความเป็นมโนธาตุให้ดี ถอยจิตกลับไปสู่ความเป็นมโนธาตุ คือ มันเป็นเพียงแค่ธาตุรู้ แล้วมันไม่มีอะไรเลย มันสัมผัสต่อสิ่งแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง มันแค่รู้ว่ามันเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วมันไม่เอาอะไร แต่อํานาจของอวิชชาที่มีอยู่ มันเกิดการปรุงแต่งให้เกิดความเชื่อ แล้วก็บัญญัติสิ่งต่างๆขึ้นมาให้เกิดเป็นอาคันตุกะจรเข้ามาห้อมล้อมจิต พอห้อมล้อมแล้วทุกอย่างมันจึงเป็นเรื่องเป็นราว มีอยู่เป็นตัวเป็นตน โดยความเชื่อที่มาจากอวิชชา
การที่จะพ้นจากทุกข์ได้ จะต้องถอยกลับไปให้สุด ถึงจุดที่เป็นมโนธาตุ ที่เป็นจิตล้วนๆ ที่มันไม่มีอะไรเลย แล้วตั้งมั่นมีสติแลอยู่ รู้ทุกอย่างแต่ไม่เอาอะไรสักอย่าง ไม่เชื่อ ไม่มีความเชื่ออะไรในสัญญานั้นๆ อันนี้เรียก รู้ตัวทั่วพร้อม เรียกว่า สมฺปชานการี
ถ้าถอยกลับไปให้สุด ในความเชื่อแต่ละอย่างๆที่เราพูดมันไม่มีอยู่จริง พอถอยกลับไปที่สุดมันไม่มีอยู่จริง เวลาจิตเข้าไปรับรู้แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง รับรู้ตรงๆมันก็แค่สิ่งๆหนึ่ง ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดมา ที่ปรากฏขึ้นมาแล้วก็ผ่านไป
ถ้าจิตอาศัยอายตนะ อาศัยตาสําหรับที่จะดูอะไร เห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง มันก็เห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ปรากฏว่าเห็น แล้วก็รู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาก็รู้อยู่แค่นั้นเอง แต่อํานาจของอวิชชา และนําพาไปจนสู่การปรุงแต่ง บัญญัติออกมาเป็นชื่อจํา จนเกิดการชอบ การไม่ชอบ ยินดี พอใจ ยึดครอง ออกมาเป็นความเป็นของตัว ความเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นมาอีกเยอะแยะมากมาย จากการเห็น จากการได้ยิน จากการได้กลิ่น จากการได้สัมผัส
ถ้าเราเข้าถึงความเป็นมโนธาตุของใจที่เป็นตัวจิต ที่บอกว่าคําของพระพุทธเจ้าต้องลงไปที่จิต เข้าไปให้ถึงจิต มันมีแต่ตัวที่เข้ามาปรุงแต่งให้เกิดเป็นความเชื่อในแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง แล้วมันก็กระชากลากพาเราเข้าไปหมุนวนอยู่ใน ๓๑ ภพภูมิ ถอยออกมาไม่ได้ แล้วก็ไปสุดอยู่ที่ทุกข์ ถ้าจะพ้นทุกข์มันจะต้องทําความเข้าใจเรื่องอย่างนี้ในโลกของสมมุติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
สตฺตา นาม ภิกฺขเว วฏฺเฏ วิจรนฺตา อปฺปมตฺตา ปุญฺญํปิ กโรนฺตา ปมตฺตวา ปุญฺญํปิ กโรนฺติ
ในโลกของสมมุติที่มันท่องกันอยู่ในสังสารวัฏนี้ ในขณะที่ไม่ประมาทอยู่ ก็ทําในสิ่งที่ดี พอประมาทก็ทําในสิ่งที่ไม่ดี ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีมาจากความเชื่อในสิ่งนั้น และความเชื่ออันนั้นมาจากอวิชชา ที่ไม่รู้ในความไม่มีอยู่ของสิ่งนั้น
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือว่า การรู้ถึงสิ่งทั้งหลายว่ามันไม่มีอยู่จริง อะไรๆมันก็ไม่มีอยู่จริง แต่มันต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ด้วยจิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระแล้วมีสติแลอยู่ มันจึงจะลงใจได้นะ ถ้าเราแค่คิดตามอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าคิดตามอย่างเดียวก็ได้แค่ความเข้าใจ มันไม่ลงใจ มันจึงไม่เป็น เอโกทิโภติ ไม่เกิดความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างความเข้าใจกับความเป็นจริง ไม่เป็นเอโกทิภาวะ มันต้องเป็น เอโกทิโภติ คือ เกิดความเป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา ต้องคงที่ แน่วแน่ แล้วก็เกิดความเป็นหนึ่งเดียว ตั้งมั่น อย่างนั้น ระหว่างความเข้าใจกับความเป็นจริง ระหว่างความรู้กับความเป็นจริง
แม้แต่มันจะเคลื่อนไหวไปตามสมมุติบัญญัติตามกระแสของโลกมันก็ทําไปตามปกติ แต่มันรู้อยู่ว่ามันไม่มีอยู่จริง ทําได้ตามกระแสโลก ตามบัญญัติของมัน มันเปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆ มันไม่ทุกข์แล้ว
ที่ไม่ทุกข์ หมายความว่า ทุกข์นั้นมีอยู่แต่มันรู้ เวลามันรู้ก็เหมือนกับไม่ทุกข์ รู้ก็คือไม่ทุกข์ จิตที่มีอยู่จะไม่จมไปกับความทุกข์นั้น ทุกข์ที่พูดถึงนี่ ไม่ใช่ว่าการเจ็บใจ ปวดใจ ทุกข์ทรมาน ไม่ใช่นะ ทุกข์ที่พูดถึงนี่คือ การเสื่อมสิ้นพิบัติแปรปรวน เป็นทุกข์ที่มาจากอนิจจัง ทุกข์จริงๆมันไม่ใช่ทุกข์ทรมาน เพราะทุกคนจะมีทุกข์เหมือนกันหมดเลย ทุกข์ที่มาจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกขัง นั่นคือทุกข์เหมือนกันหมด
แต่ถ้าจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้จะต้องนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ จิตจะต้องมีความตั้งมั่นแล้วมีสติแลอยู่ จึงเป็นปัญญาในชั้นที่ชื่อว่า เอโกทิโภติ คือ เกิดเป็นความเป็นหนึ่งเดียวของความรู้และความจริง
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร #รู้ตัวทั่วพร้อม