
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 6-9 ก.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ตัวรู้ที่รู้อย่างอิสระและเป็นธรรมชาติ สามารถตรงไปสู่อาการของกายใจได้ กายกับใจเหมือนผู้แสดง ตัวรู้เป็นผู้ดู ดูการแสดงของกายของใจ
ตัวรู้มีแต่เดิม แต่ถูกห้อมล้อมไปด้วยอวิชชา โมหะ อุปาทิ ขณะที่เคลื่อนไหวมันรู้ไปทุกกิริยาของมันเอง ตัวอวิชชา โมหะ อุปาทิ ไปไหนก็หอบตัวรู้ตัวเดิมไปด้วย ไปภพภูมิไหนก็หอบไปด้วย เอา สติ สัมปชัญญะ ความตั้งมั่น ปัญญา เจาะกำแพงเหล่านี้เข้าไป เพื่อให้ตัวรู้ตัวเดิมอยู่กับกำลังของ สติ สมาธิ ปัญญา จะไม่มีอะไรหอบมันไปแล้ว ตัวรู้จะเด่นขึ้นมาด้วยกำลังของ สติ สมาธิ ปัญญา รวมอยู่ในดวงเดียวกันของรู้ตัวเดิมนั้น
สติ สมาธิ ปัญญาทำตัวรู้ที่เป็นธรรมชาติให้อิสระจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ถ้าไม่อิสระเป็นทาส คืออยู่ในอำนาจของอวิชชา ไม่เป็นธรรมชาติเป็นเราอยู่ แสดงว่าอยู่ในอำนาจของสิ่งที่มาห่อหุ้มไว้อย่างหนา
ปุถุชนคือคนที่หนาด้วยสิ่งที่ห่อหุ้ม หนาขนาดประกอบอกุศลต่างๆได้ ตัวรู้มีอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่รู้ตามธรรมชาติตามกำลังของมัน ที่ต้องเป็นไปอยู่เพราะถูกห่อหุ้ม กระชากลากพาโดยตัณหา เข้าไปสู่ความยึด เข้าใจว่าตัวเป็นอย่างนั้นมีอย่างนั้นเรียกว่า ภพ ความปรากฏในความมีอย่างนั้นเป็นอย่างนั้นเรียกว่าชาติ ต้นเรื่องกำแพงชั้นแรกคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ไม่รู้แล้วก็หลง หลงแล้วก็เกิดการกระทำเป็นกรรมทั้งหมดในชั้นของอุปาทิ หลังจากนั้นก็ยึดในสิ่งที่หลงสิ่งที่กระทำ เกิดเป็นความมีความเป็นขึ้น เรียกว่าภพ เกิดความปรากฏของความมี ความเป็น เป็นอัตตาตัวตน เรียกว่าชาติ คือการเกิด ความแปรปรวนของชาติ เรียกว่าความแก่ ความทุกข์ระทมของชาติเรียกว่าความเจ็บ ความอาพาธ ความเสื่อม ความสลายไปของชาติ เรียกว่าความตาย เราเจาะกำแพงเข้าไปเพื่อให้รู้ตัวเดิมที่มีอยู่ รวมเป็นดวงเดียวกับสติ สมาธิ ปัญญา มันยังรู้ทุกอย่างอย่างเดิมแต่เหมือนไม่รู้อะไร เพราะสติ สมาธิปัญญาที่มีความไพบูลย์แล้ว มันเท่าทันทุกเรื่อง ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ แต่เดิมตัวอวิชชา โมหะ อุปาทิที่ห่อหุ้มเป็นก้อนอยู่ ทำหน้าที่ในการปรุงสภาพจิตให้ดำเนินเข้าไปสู่ทุกข์ เรียกว่า สังขตธาตุ
ตัณหา สังโยชน์ อาสวะทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยกำลังของอวิชชา ทำการปรากฏที่อายตนะ ตามีกำลังของอวิชชา โมหะ อุปาทิ พอเห็นรูปเกิดความแปรปรวนทางจิตทะยานไปสู่รูป เรียกว่ารูปตัณหา ตราบใดที่มีอวิชชา โมหะ อุปาทิเป็นก่อนห่อหุ้มอยู่ ตัณหาเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำดีหรือไม่ดี ก็อยู๋ในอำนาจของสิ่งเหล่านี้
เราจึงต้องทำตัวรู้ให้เป็นอิสระตามธรรมชาติด้วยวิธีที่พระพุทธเจ้าสอน
วิธีดูว่ารู้เป็นอิสระไหม ไม่ได้หลงรู้ที่เป็นอิสระ หลงรู้ว่าอย่างเป็นธรรมชาติ
ธรรมเป็นคู่ คือ ตัวรู้กับสิ่งที่ถูกรู้
สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหมดเป็นธรรมชาติของเขา ถ้าเมื่อใดสิ่งที่ถูกรู้อยู่ในอำนาจของเรา มันหลงว่ารู้อย่างอิสระ หลงว่ารู้อย่างเป็นธรรมชาติความพยายามที่จะจัดการสิ่งที่ถูกรู้ให้อยู่ในอำนาจของรู้นั่นเรียกว่าหลงรู้ เพราะกำลังทำให้สิ่งที่ถูกรู้มาอยู่ในอำนาจของเรา ก้อนทั้งหลายเข้าไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ ไปในลักษณะของทะยาน ก็คือ ตัณหา
ในขณะจิตที่เกิดภาวะของปฏิบัติ ถ้าไม่รู้อยู่กับนิ่ง ไม่นิ่งรู้ จะแยกจากสิ่งที่ปรากฏต่างๆไม่ได้ จึงไม่เป็นธรรมชาติของมัน กระบวนการที่ทำให้สิ่งที่ปรากฏมาอยู่ในอำนาจของรู้เรียกว่าเรา
ตัวรู้ที่เป็นอิสระเป็นธรรมชาติตามกำลังของมัน เป็นตัวที่จะดำเนินเข้าไปสู่ความเป็นโพชฌงค์ทั้ง7
ตัวรู้แยกสิ่งที่ถูกรู้ออก และสิ่งที่ถูกรู้เป็นธรรมชาติของเขา ต้องเริ่มต้นขึ้นก่อน การฝึก ฝึกให้ตัวผู้รู้ รู้ดูสิ่งที่ถูกรู้ถูกดูเป็นธรรมชาติ โดยที่เราไม่ไปแทรกแซงตัวรู้เลย ตัวถูกรู้ที่ดีที่สุดที่พระพุทธเจ้าสอนคือลมกระทบ การเพียรรู้ไม่ใช่การที่จะเอาลมหายใจมาอยู่ในอำนาจของรู้ เพียรรู้ ยิ่งรู้ ตรง ถูก จบ มากเท่าไร ตัวรู้ก็จะอยู่กับความนิ่งที่มีกำลังมากขึ้นเท่านั้นถ้ามันแยกกัน
พอรู้เป็นธรรมชาติของเขา ตัวเห็นจริงในสิ่งที่ถูกรู้จะปรากฏขึ้นได้ เห็นว่ามันไม่เที่ยง ไม่มีอยู่จริง แค่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เรียกว่ารู้เห็น เกิดขึ้นในขณะจิตเดียว
สภาวะเหล่านี้ปรากฏขึ้นเมื่อใด มารองรับความเข้าใจที่มีอยู่ ก็เกิดความกระจ่างแจ้ง
เพื่อละลายความเป็นเรา
จึงจะยุติเราที่จะเข้าไปตกแต่งและแทรกแซง ทำหน้าที่แค่ทำกิจให้ถูก ตรง จบไปในขณะจิตนั้นๆ เท่านั้นเอง
เมื่อสิ่งที่ถูกรู้อันเนื่องมาจากกำหนดที่เป็นรูปปรากฏ รู้ที่อยู่กับนิ่งมันเท่าทันรูปที่ปรากฏทั้งหมด ต่อไปก็จะเห็นความรู้สึกนึกคิด
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 6-9 ก.ค. 66 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ตัวรู้ที่รู้อย่างอิสระและเป็นธรรมชาติ สามารถตรงไปสู่อาการของกายใจได้ กายกับใจเหมือนผู้แสดง ตัวรู้เป็นผู้ดู ดูการแสดงของกายของใจ
ตัวรู้มีแต่เดิม แต่ถูกห้อมล้อมไปด้วยอวิชชา โมหะ อุปาทิ ขณะที่เคลื่อนไหวมันรู้ไปทุกกิริยาของมันเอง ตัวอวิชชา โมหะ อุปาทิ ไปไหนก็หอบตัวรู้ตัวเดิมไปด้วย ไปภพภูมิไหนก็หอบไปด้วย เอา สติ สัมปชัญญะ ความตั้งมั่น ปัญญา เจาะกำแพงเหล่านี้เข้าไป เพื่อให้ตัวรู้ตัวเดิมอยู่กับกำลังของ สติ สมาธิ ปัญญา จะไม่มีอะไรหอบมันไปแล้ว ตัวรู้จะเด่นขึ้นมาด้วยกำลังของ สติ สมาธิ ปัญญา รวมอยู่ในดวงเดียวกันของรู้ตัวเดิมนั้น
สติ สมาธิ ปัญญาทำตัวรู้ที่เป็นธรรมชาติให้อิสระจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ถ้าไม่อิสระเป็นทาส คืออยู่ในอำนาจของอวิชชา ไม่เป็นธรรมชาติเป็นเราอยู่ แสดงว่าอยู่ในอำนาจของสิ่งที่มาห่อหุ้มไว้อย่างหนา
ปุถุชนคือคนที่หนาด้วยสิ่งที่ห่อหุ้ม หนาขนาดประกอบอกุศลต่างๆได้ ตัวรู้มีอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่รู้ตามธรรมชาติตามกำลังของมัน ที่ต้องเป็นไปอยู่เพราะถูกห่อหุ้ม กระชากลากพาโดยตัณหา เข้าไปสู่ความยึด เข้าใจว่าตัวเป็นอย่างนั้นมีอย่างนั้นเรียกว่า ภพ ความปรากฏในความมีอย่างนั้นเป็นอย่างนั้นเรียกว่าชาติ ต้นเรื่องกำแพงชั้นแรกคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ไม่รู้แล้วก็หลง หลงแล้วก็เกิดการกระทำเป็นกรรมทั้งหมดในชั้นของอุปาทิ หลังจากนั้นก็ยึดในสิ่งที่หลงสิ่งที่กระทำ เกิดเป็นความมีความเป็นขึ้น เรียกว่าภพ เกิดความปรากฏของความมี ความเป็น เป็นอัตตาตัวตน เรียกว่าชาติ คือการเกิด ความแปรปรวนของชาติ เรียกว่าความแก่ ความทุกข์ระทมของชาติเรียกว่าความเจ็บ ความอาพาธ ความเสื่อม ความสลายไปของชาติ เรียกว่าความตาย เราเจาะกำแพงเข้าไปเพื่อให้รู้ตัวเดิมที่มีอยู่ รวมเป็นดวงเดียวกับสติ สมาธิ ปัญญา มันยังรู้ทุกอย่างอย่างเดิมแต่เหมือนไม่รู้อะไร เพราะสติ สมาธิปัญญาที่มีความไพบูลย์แล้ว มันเท่าทันทุกเรื่อง ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ แต่เดิมตัวอวิชชา โมหะ อุปาทิที่ห่อหุ้มเป็นก้อนอยู่ ทำหน้าที่ในการปรุงสภาพจิตให้ดำเนินเข้าไปสู่ทุกข์ เรียกว่า สังขตธาตุ
ตัณหา สังโยชน์ อาสวะทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยกำลังของอวิชชา ทำการปรากฏที่อายตนะ ตามีกำลังของอวิชชา โมหะ อุปาทิ พอเห็นรูปเกิดความแปรปรวนทางจิตทะยานไปสู่รูป เรียกว่ารูปตัณหา ตราบใดที่มีอวิชชา โมหะ อุปาทิเป็นก่อนห่อหุ้มอยู่ ตัณหาเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำดีหรือไม่ดี ก็อยู๋ในอำนาจของสิ่งเหล่านี้
เราจึงต้องทำตัวรู้ให้เป็นอิสระตามธรรมชาติด้วยวิธีที่พระพุทธเจ้าสอน
วิธีดูว่ารู้เป็นอิสระไหม ไม่ได้หลงรู้ที่เป็นอิสระ หลงรู้ว่าอย่างเป็นธรรมชาติ
ธรรมเป็นคู่ คือ ตัวรู้กับสิ่งที่ถูกรู้
สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหมดเป็นธรรมชาติของเขา ถ้าเมื่อใดสิ่งที่ถูกรู้อยู่ในอำนาจของเรา มันหลงว่ารู้อย่างอิสระ หลงว่ารู้อย่างเป็นธรรมชาติความพยายามที่จะจัดการสิ่งที่ถูกรู้ให้อยู่ในอำนาจของรู้นั่นเรียกว่าหลงรู้ เพราะกำลังทำให้สิ่งที่ถูกรู้มาอยู่ในอำนาจของเรา ก้อนทั้งหลายเข้าไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ ไปในลักษณะของทะยาน ก็คือ ตัณหา
ในขณะจิตที่เกิดภาวะของปฏิบัติ ถ้าไม่รู้อยู่กับนิ่ง ไม่นิ่งรู้ จะแยกจากสิ่งที่ปรากฏต่างๆไม่ได้ จึงไม่เป็นธรรมชาติของมัน กระบวนการที่ทำให้สิ่งที่ปรากฏมาอยู่ในอำนาจของรู้เรียกว่าเรา
ตัวรู้ที่เป็นอิสระเป็นธรรมชาติตามกำลังของมัน เป็นตัวที่จะดำเนินเข้าไปสู่ความเป็นโพชฌงค์ทั้ง7
ตัวรู้แยกสิ่งที่ถูกรู้ออก และสิ่งที่ถูกรู้เป็นธรรมชาติของเขา ต้องเริ่มต้นขึ้นก่อน การฝึก ฝึกให้ตัวผู้รู้ รู้ดูสิ่งที่ถูกรู้ถูกดูเป็นธรรมชาติ โดยที่เราไม่ไปแทรกแซงตัวรู้เลย ตัวถูกรู้ที่ดีที่สุดที่พระพุทธเจ้าสอนคือลมกระทบ การเพียรรู้ไม่ใช่การที่จะเอาลมหายใจมาอยู่ในอำนาจของรู้ เพียรรู้ ยิ่งรู้ ตรง ถูก จบ มากเท่าไร ตัวรู้ก็จะอยู่กับความนิ่งที่มีกำลังมากขึ้นเท่านั้นถ้ามันแยกกัน
พอรู้เป็นธรรมชาติของเขา ตัวเห็นจริงในสิ่งที่ถูกรู้จะปรากฏขึ้นได้ เห็นว่ามันไม่เที่ยง ไม่มีอยู่จริง แค่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เรียกว่ารู้เห็น เกิดขึ้นในขณะจิตเดียว
สภาวะเหล่านี้ปรากฏขึ้นเมื่อใด มารองรับความเข้าใจที่มีอยู่ ก็เกิดความกระจ่างแจ้ง
เพื่อละลายความเป็นเรา
จึงจะยุติเราที่จะเข้าไปตกแต่งและแทรกแซง ทำหน้าที่แค่ทำกิจให้ถูก ตรง จบไปในขณะจิตนั้นๆ เท่านั้นเอง
เมื่อสิ่งที่ถูกรู้อันเนื่องมาจากกำหนดที่เป็นรูปปรากฏ รู้ที่อยู่กับนิ่งมันเท่าทันรูปที่ปรากฏทั้งหมด ต่อไปก็จะเห็นความรู้สึกนึกคิด
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน