
Sign up to save your podcasts
Or


การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
พอเกิดมาใหม่ๆ ตาซึ่งใจจะไปอาศัยยังไม่แข็งแรง หูที่ใจจะต้องไปอาศัยไม่แข็งแรง จมูกลิ้นกายประสาททั้งหมด เรียกอายตนะยังอ่อน ใจเลยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ในการที่จะเรียนรู้เรื่องโลก มันเลยนิ่ง รอการเรียนรู้ ในระหว่างที่ใจนิ่งอยู่นั้น ธรรมชาติอย่างหนึ่งของใจ คือ มันต้องรู้ เราลองนั่งเฉยๆ ใจมันเป็นธาตุรู้แต่มันไม่รู้อะไร มันเริ่มต้นจากการที่ไม่รู้อะไร พอไม่รู้อะไรความไม่รู้นี้จึงอยู่ที่ใจ แต่มันมีความไม่รู้มันก็มีความรู้อยู่ในตัวเดียวกัน พื้นเดิมของใจแม้จะผุดผ่องเป็นธาตุรู้ แต่มันมีความไม่รู้เป็นปกติ ด้วยความไม่รู้นี้เป็นความมืดของใจ ด้วยความไม่รู้นี้เมื่ออายตนะแข็งแรง ก็เข้าไปเชื่อมรู้กับโลก ได้ไปเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ประกอบกับการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม มีคนสอนบ้าง เป็นประสบการณ์สั่งสมเข้ามา ด้วยความไม่รู้ที่มีอยู่เดิมจึงทําให้ใจเรียนรู้ไปตามสภาพแวดล้อม ความไม่รู้จึงทําให้ใจนี้เรียกหา พอดูรูปนี้ถูกใจ สีนี้ชอบ เสียงนี้ชอบ เริ่มจากที่พื้นเดิมที่ไม่รู้นั้น เลยเอาความไม่รู้นั้นสร้างเป็นฐานขึ้นมา ทําให้เกิดการพอใจและไม่พอใจกับโลกใบนี้ ตัวที่อยากจะอยู่กับสิ่งที่ถูกใจ อยากได้กับสิ่งที่พอใจ อยากมีสิ่งที่ถูกใจ ไม่อยากห่างจากสิ่งที่ถูกใจ นี่คือตัวตัณหา พออวิชชาที่ไม่รู้จึงมีตัณหา ตัณหาจึงอยู่เป็นเพื่อนกับเรา ที่เขาเรียกว่า ตณฺหาทุติโย ปุริโส บุคคลมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน จะไปทําอะไรที่ไหน เราจะมีตัณหาเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา และตัณหาตัวนี้จะเป็นตัวที่สร้างภพสร้างชาติให้กับเรา และเราจะเป็นทุกข์ เราเกิดมาอย่างนี้ เรียนรู้อย่างนี้ จนกระทั่งเราแก่ เราตาย แล้วเราเกิดใหม่ ก็เป็นอย่างเดิมอีกวนลูปอยู่อย่างนี้ เรียกว่าสังสารวัฏ ในเส้นทางที่วนลูปอยู่อย่างนี้ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเจอ นั่นคือความทุกข์ ไม่ว่าเราอยากจะเป็นอะไร อยู่สถานะไหนเป็นอะไรก็ทุกข์ไปกับอย่างนั้น เพราะมีตัณหาเป็นเพื่อนอยู่ ตัณหาที่เป็นเพื่อนอยู่นี้ คือไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไร มันมีความคาดหวังและความต้องการให้ได้ดั่งใจของมันเสมอ และทุกๆความคาดหวังมันจะผิดหวังทุกเรื่อง ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
ในการภาวนา เราต้องให้สติ สติคืออะไร สติคือตัวระลึก สัมปชัญญะคืออะไร สัมปชัญญะคือรู้ เรียกรวมกัน สติสัมปชัญญะแปลว่าระลึกรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตาม ที่อาตมาพูดว่า ระลึกรู้ นั่นคือ ตัวสติสัมปชัญญะ เวลาระลึกรู้ อย่างตอนนี้ตัวความรู้ทั้งหมดอยู่ทั้งข้างในอยู่ทั้งข้างนอกทั่วไประลึกยกเข้ามาข้างใน ระลึกไปอยู่เหนือริมฝีปากกับปลายโพรงจมูกด้านใน เวลานั่งดูนู่นดูนี่มันก็อยู่คลุมทั่วไปหมด เราก็สงบกายแล้วระลึกเข้ามา อาการที่จิตมันยก ตัวรู้มันยกตัวมันเองเข้ามา นี่เรียกว่า ระลึก ตอนนี้มันอยู่ทั่วไปหมด พอสงบกายขึ้นมา ระลึกเข้าไป ระลึกไปตรงส่วนนี้ปั๊บ รู้คลออยู่ตรงส่วนที่ระลึก
ข้อสําคัญของคนปฏิบัติจะต้องทําหน้าที่แค่รู้เท่านั้น ไม่มีเจตนาที่จะไปมุ่งหวังสิ่งใดกับการภาวนานี้ ถ้ามีเจตนาไปมุ่งหวังว่าเราอยากจะได้อย่างนั้น เราอยากให้มันเป็นอย่างนี้ จบนะ ต้องถอยกลับมา ทําหน้าที่นิ่งรู้อย่างอิสระเฉยอยู่ตรงต่อลมหายใจซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้อย่างบริสุทธิ์ อย่างนี้เท่านั้นจึงจะเข้าช่องของมัน ช่องๆนี้แหละเป็นเอกายนมรรค เป็นช่องเดียวที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้สําหรับเป็นประตูนําเข้าไปสู่ธรรม เป็นประตูธรรม คือช่องนี้ ถ้าหากว่ามีเจตนา มีความหวัง มีความคาดหมาย มีการปรุงใดๆเข้าไปเจืออยู่ในการปฏิบัตินี้ อันนั้นมันเป็นเรื่องราวของเรา
ในการเดิน เดินตามสบายให้ตัวผู้รู้ที่เค้ารู้นิ่งอยู่ รู้อาการของการแสดงของกาย การแสดงของกายที่มันแสดงออกมาเป็นอาการ กิริยาทั้งหมดเลยเป็นอาการของกายที่ร่างกายนี้แสดงออกมา ทีนี้พอมันกระสานซ่านเซ็นแล้วก็ดูว่ารู้มันอยู่ข้างในไหม ถ้ารู้ไม่อยู่ข้างใน ทําอย่างไร หยุด สงบกาย ให้รู้อยู่ข้างในก่อน พอรู้อยู่ข้างในเสร็จแล้ว รู้ก็จะทําหน้าที่รู้ รู้กิริยาที่มันแสดงออกมาว่าหยุด พอรู้อยู่ข้างในได้ แล้วก็รู้ เดินไปเรื่อยๆ
รู้อยู่ข้างในไม่กระโดดไปด้วย เหมือนตาที่เรามองตาหลุดไปด้วยไหม การเห็นที่เป็นกิริยาของตา รู้อยู่นี่นิ่งรู้เฉยอยู่ แต่รู้ที่ไปรู้ส้นเท้าที่ยกขึ้นนี้ มันระลึกลงไปรู้ รู้ตัวนี้อยู่นี่ กิริยาของรู้ตัวนี้ที่เขาไปรู้ส้นเท้าที่ยกขึ้น แต่เราก็ไม่ต้องไปบังคับมันมากเกินไป บางครั้งมันจะหลุดออกไปเพื่อการรู้ในการยกนี้ก็ไม่เป็นไร แต่พอเห็นมันกระเซ็นมากๆแล้วเราก็หยุดนิ่งสงบกาย เพื่อให้รู้กลับมาสู่ฐานรวบรวมรู้ ทําอย่างงี้แหละสู้กับเขา มิเช่นนั้นเราจะให้ชีวิตเราทั้งชีวิตนี้อยู่ในอํานาจของอวิชชากับตัณหาต่อไปไหมจนเราตาย
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
พอเกิดมาใหม่ๆ ตาซึ่งใจจะไปอาศัยยังไม่แข็งแรง หูที่ใจจะต้องไปอาศัยไม่แข็งแรง จมูกลิ้นกายประสาททั้งหมด เรียกอายตนะยังอ่อน ใจเลยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ในการที่จะเรียนรู้เรื่องโลก มันเลยนิ่ง รอการเรียนรู้ ในระหว่างที่ใจนิ่งอยู่นั้น ธรรมชาติอย่างหนึ่งของใจ คือ มันต้องรู้ เราลองนั่งเฉยๆ ใจมันเป็นธาตุรู้แต่มันไม่รู้อะไร มันเริ่มต้นจากการที่ไม่รู้อะไร พอไม่รู้อะไรความไม่รู้นี้จึงอยู่ที่ใจ แต่มันมีความไม่รู้มันก็มีความรู้อยู่ในตัวเดียวกัน พื้นเดิมของใจแม้จะผุดผ่องเป็นธาตุรู้ แต่มันมีความไม่รู้เป็นปกติ ด้วยความไม่รู้นี้เป็นความมืดของใจ ด้วยความไม่รู้นี้เมื่ออายตนะแข็งแรง ก็เข้าไปเชื่อมรู้กับโลก ได้ไปเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ประกอบกับการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม มีคนสอนบ้าง เป็นประสบการณ์สั่งสมเข้ามา ด้วยความไม่รู้ที่มีอยู่เดิมจึงทําให้ใจเรียนรู้ไปตามสภาพแวดล้อม ความไม่รู้จึงทําให้ใจนี้เรียกหา พอดูรูปนี้ถูกใจ สีนี้ชอบ เสียงนี้ชอบ เริ่มจากที่พื้นเดิมที่ไม่รู้นั้น เลยเอาความไม่รู้นั้นสร้างเป็นฐานขึ้นมา ทําให้เกิดการพอใจและไม่พอใจกับโลกใบนี้ ตัวที่อยากจะอยู่กับสิ่งที่ถูกใจ อยากได้กับสิ่งที่พอใจ อยากมีสิ่งที่ถูกใจ ไม่อยากห่างจากสิ่งที่ถูกใจ นี่คือตัวตัณหา พออวิชชาที่ไม่รู้จึงมีตัณหา ตัณหาจึงอยู่เป็นเพื่อนกับเรา ที่เขาเรียกว่า ตณฺหาทุติโย ปุริโส บุคคลมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน จะไปทําอะไรที่ไหน เราจะมีตัณหาเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา และตัณหาตัวนี้จะเป็นตัวที่สร้างภพสร้างชาติให้กับเรา และเราจะเป็นทุกข์ เราเกิดมาอย่างนี้ เรียนรู้อย่างนี้ จนกระทั่งเราแก่ เราตาย แล้วเราเกิดใหม่ ก็เป็นอย่างเดิมอีกวนลูปอยู่อย่างนี้ เรียกว่าสังสารวัฏ ในเส้นทางที่วนลูปอยู่อย่างนี้ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเจอ นั่นคือความทุกข์ ไม่ว่าเราอยากจะเป็นอะไร อยู่สถานะไหนเป็นอะไรก็ทุกข์ไปกับอย่างนั้น เพราะมีตัณหาเป็นเพื่อนอยู่ ตัณหาที่เป็นเพื่อนอยู่นี้ คือไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไร มันมีความคาดหวังและความต้องการให้ได้ดั่งใจของมันเสมอ และทุกๆความคาดหวังมันจะผิดหวังทุกเรื่อง ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
ในการภาวนา เราต้องให้สติ สติคืออะไร สติคือตัวระลึก สัมปชัญญะคืออะไร สัมปชัญญะคือรู้ เรียกรวมกัน สติสัมปชัญญะแปลว่าระลึกรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตาม ที่อาตมาพูดว่า ระลึกรู้ นั่นคือ ตัวสติสัมปชัญญะ เวลาระลึกรู้ อย่างตอนนี้ตัวความรู้ทั้งหมดอยู่ทั้งข้างในอยู่ทั้งข้างนอกทั่วไประลึกยกเข้ามาข้างใน ระลึกไปอยู่เหนือริมฝีปากกับปลายโพรงจมูกด้านใน เวลานั่งดูนู่นดูนี่มันก็อยู่คลุมทั่วไปหมด เราก็สงบกายแล้วระลึกเข้ามา อาการที่จิตมันยก ตัวรู้มันยกตัวมันเองเข้ามา นี่เรียกว่า ระลึก ตอนนี้มันอยู่ทั่วไปหมด พอสงบกายขึ้นมา ระลึกเข้าไป ระลึกไปตรงส่วนนี้ปั๊บ รู้คลออยู่ตรงส่วนที่ระลึก
ข้อสําคัญของคนปฏิบัติจะต้องทําหน้าที่แค่รู้เท่านั้น ไม่มีเจตนาที่จะไปมุ่งหวังสิ่งใดกับการภาวนานี้ ถ้ามีเจตนาไปมุ่งหวังว่าเราอยากจะได้อย่างนั้น เราอยากให้มันเป็นอย่างนี้ จบนะ ต้องถอยกลับมา ทําหน้าที่นิ่งรู้อย่างอิสระเฉยอยู่ตรงต่อลมหายใจซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้อย่างบริสุทธิ์ อย่างนี้เท่านั้นจึงจะเข้าช่องของมัน ช่องๆนี้แหละเป็นเอกายนมรรค เป็นช่องเดียวที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้สําหรับเป็นประตูนําเข้าไปสู่ธรรม เป็นประตูธรรม คือช่องนี้ ถ้าหากว่ามีเจตนา มีความหวัง มีความคาดหมาย มีการปรุงใดๆเข้าไปเจืออยู่ในการปฏิบัตินี้ อันนั้นมันเป็นเรื่องราวของเรา
ในการเดิน เดินตามสบายให้ตัวผู้รู้ที่เค้ารู้นิ่งอยู่ รู้อาการของการแสดงของกาย การแสดงของกายที่มันแสดงออกมาเป็นอาการ กิริยาทั้งหมดเลยเป็นอาการของกายที่ร่างกายนี้แสดงออกมา ทีนี้พอมันกระสานซ่านเซ็นแล้วก็ดูว่ารู้มันอยู่ข้างในไหม ถ้ารู้ไม่อยู่ข้างใน ทําอย่างไร หยุด สงบกาย ให้รู้อยู่ข้างในก่อน พอรู้อยู่ข้างในเสร็จแล้ว รู้ก็จะทําหน้าที่รู้ รู้กิริยาที่มันแสดงออกมาว่าหยุด พอรู้อยู่ข้างในได้ แล้วก็รู้ เดินไปเรื่อยๆ
รู้อยู่ข้างในไม่กระโดดไปด้วย เหมือนตาที่เรามองตาหลุดไปด้วยไหม การเห็นที่เป็นกิริยาของตา รู้อยู่นี่นิ่งรู้เฉยอยู่ แต่รู้ที่ไปรู้ส้นเท้าที่ยกขึ้นนี้ มันระลึกลงไปรู้ รู้ตัวนี้อยู่นี่ กิริยาของรู้ตัวนี้ที่เขาไปรู้ส้นเท้าที่ยกขึ้น แต่เราก็ไม่ต้องไปบังคับมันมากเกินไป บางครั้งมันจะหลุดออกไปเพื่อการรู้ในการยกนี้ก็ไม่เป็นไร แต่พอเห็นมันกระเซ็นมากๆแล้วเราก็หยุดนิ่งสงบกาย เพื่อให้รู้กลับมาสู่ฐานรวบรวมรู้ ทําอย่างงี้แหละสู้กับเขา มิเช่นนั้นเราจะให้ชีวิตเราทั้งชีวิตนี้อยู่ในอํานาจของอวิชชากับตัณหาต่อไปไหมจนเราตาย