
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 20-23 มิ.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
เราเข้าลู่ได้ถูกแล้ว เพียงแค่ใช้ความเพียรบ่มความตั้งมั่นนี้ให้มีกําลังขึ้นมา ตัวที่มีปัญหาที่สุดในชีวิต คือ ตัวจิตตสังขาร จิตตสังขาร แปลว่า สังขารของจิต ก็คือตัวที่ปรุงแต่งจิต
ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่จิตตสังขาร คือ ตัวที่เข้ามาปรุงแต่งจิตอันเกิดจากการบ่มเพาะของอวิชชา ที่จรเข้ามาตั้งแต่เรามาจากท้องแม่ นอกจากนําสิ่งซึ่งติดตัวจิตมาตอนลงปฏิสนธินั้นแล้ว ยังมีความรู้ความจําความเชื่อใหม่ๆที่เข้ามาแต่ละช่วงของชีวิต แต่ละขณะของชีวิตที่เคลื่อนไหวจนมาถึงวันนี้ อันนั้นคือตัวปัญหา ซึ่งมันจะเกิดเป็นจิตตสังขารอยู่ตลอดเวลา
การที่จะกําราบจิตตสังขาร เราละมันไม่ได้ เราทําหน้าที่แค่รู้มัน รู้จักมัน รู้ว่ามันคือจิตตสังขาร ตัวที่เราดูง่ายที่สุด คือ ตัวที่เป็นอกุศล จิตตสังขารทั้งกุศลและอกุศล ทั้งอัพยากฤต คือ กลางๆยังไม่เป็นกุศลยังไม่เป็นอกุศล ทั้ง ๓ ตัวนี้ ล้วนแต่เป็นตัวที่จะลากเราเข้าไปอยู่ใน ๓๑ ภพภูมิ
จิตตสังขารที่เป็นกุศล เมื่อเข้ามาปรุงแต่งจิตแล้ว อย่างดีก็ไปสวรรค์ มากกว่านั้นก็ไปรูปพรหม มากกว่านั้นก็อรูปพรหม เสร็จแล้วก็ร่วงหล่นลงมา เพราะมันอยู่ในลักษณะของการปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา อยู่ในอนิจจธรรม เปลี่ยนแปลงแปรปรวนอยู่เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นท่องไปใน ๓๑ ภพภูมินี้ เดี๋ยวก็ได้ไปอบาย เดี๋ยวก็มามนุษย์ เดี๋ยวก็ไปสุขติ เดี๋ยวก็ไปพรหม ก็สุดแท้แต่ว่าสภาพของจิตที่ดับไปนั้นเป็นอย่างไร แต่ในที่สุดแล้วมันก็จะไปสุดอยู่ที่ทุกข์ เพราะใน ๓๑ ภพภูมิ ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ล้วนแต่มีความไม่เที่ยง เสื่อมสิ้น พิบัติ แปรปรวน ไม่อยู่ในอํานาจของผู้ใด เพราะว่ามันอยู่ในอํานาจของอวิชชา
เพราะฉะนั้นจิตตสังขารในส่วนที่เป็นกุศล อกุศล ทั้งที่เป็นส่วนกลางๆ ในที่สุดแล้ว ผู้ปฏิบัติจะต้องดูให้รู้ ให้รู้ว่านี่คือจิตตสังขาร นี่คือความคิด การที่มันดูได้ จิตตสังขารหรือว่าความคิด ต่อไปนี้จะพูดว่าความคิดนะ ความคิดนี่จะรวมทั้งเจตนา ผัสสะ เวทนา สัญญา และมนสิการ รวมทั้งอารมณ์ลงไปด้วย ถ้าพูดให้เป็น ๓ คํา ก็เรียกว่า การคิด การนึก และ อารมณ์
คิด คือ เกิดขึ้นจากในใจ ด้วยอํานาจของสัญญา และเวทนา
นึก คือ การส่งออกไป
อารมณ์ คือ มีกําลังที่เบ่งบานเต็มตัว และครองใจ
ความคิดนี่จะอยู่เบื้องหลังจะทําหน้าที่เป็นจิตตสังขารคือ ตัวที่คอยปรุงแต่งจิต หรือเป็นสังขารของจิตอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราจะต้องดูตัวที่ดูได้ก่อน ตัวที่ดูได้ก็คือ ตัวที่ปรุงแต่งแรงๆ นั่นก็คือ อกุศล
จิตตสังขารในส่วนที่เป็นอกุศล พอมันเกิดแรงๆต้องกล้าพอสําหรับที่จะดูเขา ดูจนรู้จักว่าอันนี้ คือ จิตตสังขาร คืออกุศลจิต คือความคิดที่เป็นอกุศล แค่รู้จักอย่างนี้ คือการรู้ทุกข์ เป็นหลักการปฏิบัติในอริยสัจ ๔
ในเบื้องต้นของอกุศลจิตที่เป็นจิตตสังขารนั้นเราทําอื่นไม่ได้ สิ่งที่ทําได้คือการกําหนดรู้ รู้เขาอย่างเดียว แต่รู้ให้เข้าถึงตัวที่เป็นจิตตสังขาร ไม่ใช่รู้แฉลบออกไปเข้าไม่ถึงจิตตสังขาร แต่ไปสู่วัตถุอันเป็นอามิสซึ่งเป็นเหยื่อของอกุศล
ความโกรธที่เป็นจิตตสังขาร กําหนดรู้ด้วยการรู้ เรียกว่า ปริญญา รู้มันไป รู้มันไป รู้มันไป พอรู้ปั๊บมันดับ พอมันมาใหม่ก็รู้ใหม่ มาใหม่ก็รู้ใหม่ ไม่กี่ครั้ง ตัวจิตก็จะเห็นเป็นปัญญาว่า เหตุที่มา พอเกิดอาการอย่างนี้เดี๋ยวมันจะมีความโกรธเกิดขึ้น เกิดอาการอย่างนี้เดี๋ยวมันจะมีความรักเกิดขึ้น
อาการที่ว่าเป็นอาการในจิตนะ ซึ่งมีชื่อเรียกแต่ไม่อยากจะพูดเดี๋ยวมันจะเยอะเกินไปจําไม่ได้ ขอให้รู้ในคําว่า มันมีเหตุของมัน พอมันชํานาญมันจะเห็นเหตุของมัน พอเห็นเหตุ เหตุนั้นดับ พอเหตุดับความโกรธที่มีอยู่ก็ดับ การเห็นเหตุดับเรียกว่า สมุทัย กิจที่ทําในเหตุแห่งความทุกข์ เรียกว่า ปหานปริญญา พอมันดับไปแล้ว เหตุมันดับไปแล้ว มันก็จะรู้ซ้ำลงไป อ๋อมันดับไปแล้ว รู้ที่รู้ซ้ำลงไปถึงเหตุที่มันดับไปนี้ เรียกว่า กตญาณ คือ รู้ในกิจที่ทําเสร็จแล้วในแต่ละอย่าง
นี่เป็นเรื่องราวของอริยสัจ ๔ ทั้งหมด แต่มันต้องเริ่มต้นด้วยความเป็นกลางแห่งจิต นั่นคือความตั้งมั่น ที่ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรเรียก มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ความตั้งมั่นอันมีสติแล้วแลอยู่นี่แหละ ของพวกเราทุกคนไม่ได้ชมนะ ความตั้งมั่นอันมีสติแล้วแลอยู่ เรามีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเราก็จะต้องดูจิตตสังขาร
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร #มรรค
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 20-23 มิ.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
เราเข้าลู่ได้ถูกแล้ว เพียงแค่ใช้ความเพียรบ่มความตั้งมั่นนี้ให้มีกําลังขึ้นมา ตัวที่มีปัญหาที่สุดในชีวิต คือ ตัวจิตตสังขาร จิตตสังขาร แปลว่า สังขารของจิต ก็คือตัวที่ปรุงแต่งจิต
ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่จิตตสังขาร คือ ตัวที่เข้ามาปรุงแต่งจิตอันเกิดจากการบ่มเพาะของอวิชชา ที่จรเข้ามาตั้งแต่เรามาจากท้องแม่ นอกจากนําสิ่งซึ่งติดตัวจิตมาตอนลงปฏิสนธินั้นแล้ว ยังมีความรู้ความจําความเชื่อใหม่ๆที่เข้ามาแต่ละช่วงของชีวิต แต่ละขณะของชีวิตที่เคลื่อนไหวจนมาถึงวันนี้ อันนั้นคือตัวปัญหา ซึ่งมันจะเกิดเป็นจิตตสังขารอยู่ตลอดเวลา
การที่จะกําราบจิตตสังขาร เราละมันไม่ได้ เราทําหน้าที่แค่รู้มัน รู้จักมัน รู้ว่ามันคือจิตตสังขาร ตัวที่เราดูง่ายที่สุด คือ ตัวที่เป็นอกุศล จิตตสังขารทั้งกุศลและอกุศล ทั้งอัพยากฤต คือ กลางๆยังไม่เป็นกุศลยังไม่เป็นอกุศล ทั้ง ๓ ตัวนี้ ล้วนแต่เป็นตัวที่จะลากเราเข้าไปอยู่ใน ๓๑ ภพภูมิ
จิตตสังขารที่เป็นกุศล เมื่อเข้ามาปรุงแต่งจิตแล้ว อย่างดีก็ไปสวรรค์ มากกว่านั้นก็ไปรูปพรหม มากกว่านั้นก็อรูปพรหม เสร็จแล้วก็ร่วงหล่นลงมา เพราะมันอยู่ในลักษณะของการปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา อยู่ในอนิจจธรรม เปลี่ยนแปลงแปรปรวนอยู่เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นท่องไปใน ๓๑ ภพภูมินี้ เดี๋ยวก็ได้ไปอบาย เดี๋ยวก็มามนุษย์ เดี๋ยวก็ไปสุขติ เดี๋ยวก็ไปพรหม ก็สุดแท้แต่ว่าสภาพของจิตที่ดับไปนั้นเป็นอย่างไร แต่ในที่สุดแล้วมันก็จะไปสุดอยู่ที่ทุกข์ เพราะใน ๓๑ ภพภูมิ ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ล้วนแต่มีความไม่เที่ยง เสื่อมสิ้น พิบัติ แปรปรวน ไม่อยู่ในอํานาจของผู้ใด เพราะว่ามันอยู่ในอํานาจของอวิชชา
เพราะฉะนั้นจิตตสังขารในส่วนที่เป็นกุศล อกุศล ทั้งที่เป็นส่วนกลางๆ ในที่สุดแล้ว ผู้ปฏิบัติจะต้องดูให้รู้ ให้รู้ว่านี่คือจิตตสังขาร นี่คือความคิด การที่มันดูได้ จิตตสังขารหรือว่าความคิด ต่อไปนี้จะพูดว่าความคิดนะ ความคิดนี่จะรวมทั้งเจตนา ผัสสะ เวทนา สัญญา และมนสิการ รวมทั้งอารมณ์ลงไปด้วย ถ้าพูดให้เป็น ๓ คํา ก็เรียกว่า การคิด การนึก และ อารมณ์
คิด คือ เกิดขึ้นจากในใจ ด้วยอํานาจของสัญญา และเวทนา
นึก คือ การส่งออกไป
อารมณ์ คือ มีกําลังที่เบ่งบานเต็มตัว และครองใจ
ความคิดนี่จะอยู่เบื้องหลังจะทําหน้าที่เป็นจิตตสังขารคือ ตัวที่คอยปรุงแต่งจิต หรือเป็นสังขารของจิตอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราจะต้องดูตัวที่ดูได้ก่อน ตัวที่ดูได้ก็คือ ตัวที่ปรุงแต่งแรงๆ นั่นก็คือ อกุศล
จิตตสังขารในส่วนที่เป็นอกุศล พอมันเกิดแรงๆต้องกล้าพอสําหรับที่จะดูเขา ดูจนรู้จักว่าอันนี้ คือ จิตตสังขาร คืออกุศลจิต คือความคิดที่เป็นอกุศล แค่รู้จักอย่างนี้ คือการรู้ทุกข์ เป็นหลักการปฏิบัติในอริยสัจ ๔
ในเบื้องต้นของอกุศลจิตที่เป็นจิตตสังขารนั้นเราทําอื่นไม่ได้ สิ่งที่ทําได้คือการกําหนดรู้ รู้เขาอย่างเดียว แต่รู้ให้เข้าถึงตัวที่เป็นจิตตสังขาร ไม่ใช่รู้แฉลบออกไปเข้าไม่ถึงจิตตสังขาร แต่ไปสู่วัตถุอันเป็นอามิสซึ่งเป็นเหยื่อของอกุศล
ความโกรธที่เป็นจิตตสังขาร กําหนดรู้ด้วยการรู้ เรียกว่า ปริญญา รู้มันไป รู้มันไป รู้มันไป พอรู้ปั๊บมันดับ พอมันมาใหม่ก็รู้ใหม่ มาใหม่ก็รู้ใหม่ ไม่กี่ครั้ง ตัวจิตก็จะเห็นเป็นปัญญาว่า เหตุที่มา พอเกิดอาการอย่างนี้เดี๋ยวมันจะมีความโกรธเกิดขึ้น เกิดอาการอย่างนี้เดี๋ยวมันจะมีความรักเกิดขึ้น
อาการที่ว่าเป็นอาการในจิตนะ ซึ่งมีชื่อเรียกแต่ไม่อยากจะพูดเดี๋ยวมันจะเยอะเกินไปจําไม่ได้ ขอให้รู้ในคําว่า มันมีเหตุของมัน พอมันชํานาญมันจะเห็นเหตุของมัน พอเห็นเหตุ เหตุนั้นดับ พอเหตุดับความโกรธที่มีอยู่ก็ดับ การเห็นเหตุดับเรียกว่า สมุทัย กิจที่ทําในเหตุแห่งความทุกข์ เรียกว่า ปหานปริญญา พอมันดับไปแล้ว เหตุมันดับไปแล้ว มันก็จะรู้ซ้ำลงไป อ๋อมันดับไปแล้ว รู้ที่รู้ซ้ำลงไปถึงเหตุที่มันดับไปนี้ เรียกว่า กตญาณ คือ รู้ในกิจที่ทําเสร็จแล้วในแต่ละอย่าง
นี่เป็นเรื่องราวของอริยสัจ ๔ ทั้งหมด แต่มันต้องเริ่มต้นด้วยความเป็นกลางแห่งจิต นั่นคือความตั้งมั่น ที่ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรเรียก มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ความตั้งมั่นอันมีสติแล้วแลอยู่นี่แหละ ของพวกเราทุกคนไม่ได้ชมนะ ความตั้งมั่นอันมีสติแล้วแลอยู่ เรามีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเราก็จะต้องดูจิตตสังขาร
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร #มรรค