
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 26-28 พ.ค. 66 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.
ณ สถานปฏิบัติธรรมวชิรญาณ ๒๐๐ ปี วัดบวรนิเวศ
คอร์สนี้สรุปคำเดียว ผู้รู้ เป็นเรื่องที่ไม่ได้พูดเน้นในคอร์สอื่นๆ คอร์สนี้เป็นคอร์สแรกที่เราเริ่มสอนเรื่องผู้รู้และการปฏิบัติที่ให้ผู้รู้ รู้อย่างอิสระในกิริยาที่เป็นธรรมชาติ เพื่อที่จะไปใช้ต่อยอดในชีวิตประจำวัน ต้องดู Keyword ของมัน คอร์สนี้เท่านั้น นอกนั้นก็เหมือนเดิม บ่มความตั้งมั่น แต่ว่าตัว Keyword ก็คือว่า ตัวผู้รู้มีอิสระอยู่กับกิริยากายใจอย่างเป็นธรรมชาติในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อวานชิมลางแล้ว เพราะฉะนั้น แต่ละคอร์สที่อาตมาเปิด จะมีหัวใจของมันอยู่ทุกๆคอร์สที่เดินทางมาเป็นคอร์สต่อเนื่อง แล้วก็ฝากคนใหม่ๆนะ อย่าชะล่าใจ อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเข้าใจแล้ว
อีกตัวหนึ่งที่เน้นขึ้นมาก็คือ เรื่องรู้กับเรื่องเรา รู้จริงๆกับคิดรู้ไม่เหมือนกัน มีคำถามคำถามหนึ่งที่สำคัญมาก ก็ควรแก่การที่จะนำมาพูดให้ฟังว่า ในระหว่างที่เราปฏิบัติอยู่ หรือเราอยู่ในชีวิตประจำวัน เราเกิดสงสัยว่าเรารู้หรือเราคิด ระหว่างรู้กับคิดมันต่างกัน ถ้ารู้จะไม่มีความตั้งใจที่จะไปรู้เลย มันรู้ของมันเอง อย่างเรานั่งทำงานอยู่ แล้วมีความคิดเกิดขึ้น แล้วมีตัวรู้ไปรู้ว่าคิด โดยที่เราไม่มีความตั้งใจรู้ ถ้าตัวรู้รู้ความคิดนั้นจะดับทันที แต่ถ้าคิดเกิดแล้ว แล้วมีความเพ่งไปที่ความคิดเพื่อที่จะรู้ เพ่งเพื่อที่จะให้มันดับ จงจำไว้ อันนั้นเป็นคิดซ้อนคิด ไม่ใช่รู้ เป็นเราล้วนๆ แล้วทำไมต้องรู้ ก็ให้รู้ไว้เฉยๆ เพราะเราทำงานตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่รู้นานๆที ถ้ารู้เขาจะรู้ของเขาเอง เขาไม่ต้องมาให้ใครมาบงการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ให้สังเกตไว้ เพราะจะเกิดได้ตลอดในเส้นทางปฏิบัติต่อไปในวันข้างหน้า ในขณะที่เราอยู่กับวิหารตัวใด สมมติรู้อยู่กับลม มีลมเป็นวิหาร แล้วมันไปรู้ความคิด แล้วความคิดดับ อันนั้นรู้มันรู้ของมันเอง เราเพียงแค่รู้จักการสังเกตซ้ำลงไป ว่านี่รู้ มันจะรู้จักรู้มากขึ้น เข้าใจรู้มากขึ้น รู้ที่เรารู้จักมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น เขาจะมีกำลังมากขึ้น มันจะยิ่งดึงเข้ามา โผล่เข้ามา ชัดขึ้น ชัดขึ้น นี่แหละการที่จะหลุดออกจากอวิชชาและโมหะก็ต้องสู้กับเขาแบบนี้ ถ้าไม่สู้กับมันเราก็ดำผุดดำว่ายอยู่ใต้อำนาจของมันตลอดเวลา
เรื่องที่ 3 ซึ่งมีอยู่เกือบทุกคอร์สหลังๆที่พูดมา คือ ให้รูปนาม ให้ชีวิตนี้เป็นที่ทำการของมรรค คือให้มรรคเกิดการเคลื่อนไหวอยู่กับชีวิตประจำวันของเราให้ได้ ถ้ากายใจนี้เป็นที่ตั้งของมรรค ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรกันเลยนะ กลับขั้วกันเลยนะ คนละเรื่องกันเลย แล้วรู้หรือยังว่าเคลื่อนไหวด้วยมรรคต้องเคลื่อนไหวอย่างไร จุดที่จะปรากฏได้คือความรู้สึกตัว ที่พูดไว้ ตตฺถ สมฺปชาโน โหติ เวลาเคลื่อนไหวด้วยมรรคจะไม่มีความพอใจ ไม่มีความไม่พอใจ ในการยืน เรียกว่ารู้ตัวในการยืน ไม่มีความพอใจ ไม่มีความไม่พอใจ ในการนั่ง รู้ในการนั่งโดยที่ไม่มีความพอใจ และไม่พอใจ ทั้ง 2 อย่างไม่เกิด นั่นเรียกว่ารู้ตัวในการนั่ง นั่นคือการทำงานของมรรค เวลาเดิน รู้ตัวในการเดินเป็นการทำงานของมรรค คือ ไม่มีความพอใจ และไม่มีความไม่พอใจอยู่ในการเดินนั้น เรียกว่ารู้ตัวในการเดิน ให้จำไว้ ถ้าเมื่อใดที่มีความพอใจในขณะที่เดิน มีความพอใจในขณะที่นั่ง มีความพอใจในขณะที่ยืน นั่นไม่ได้ชื่อว่าเป็นที่ทำการของมรรค เวลาทำการของมรรค จะอยู่ตรงกลาง ไม่อยู่ขั้วของความพอใจ ไม่อยู่ขั้วของความไม่พอใจ เครื่องที่จะประคองให้มรรคนี้เจริญขึ้นเรื่อยๆ คือ จิตผู้รู้ที่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ เวลาเรารู้ตรงต่ออาการของกายของใจในแต่ละครั้งเป็นมรรคอยู่ทุกที แต่ตอกย้ำลงไปว่า ถ้ามีชีวิตอยู่ รู้สึกตัวว่าไม่ตาย ให้เป็นที่ตั้งของมรรค รู้สึกตัวคราใด ให้เป็นที่ตั้งของมรรคครานั้น แล้วจะเกิดอานิสงส์มหาสารเลย เพราะว่ามรรคเป็นเส้นทางที่ชื่อว่า มัชฌิมาปฏิปทา มรรคเป็นเหมือนการสร้างสะพานสำหรับข้ามทะเลแห่งโมหะ มรรคเป็นตัวทำลายเครื่องเรือน มรรคเป็นตัวทำลายภพชาติในที่สุด มรรคเป็นตัวสะพานที่ทำให้เราเดินไปจนถึงเป้าหมายที่เราจะตั้งไว้ เพราะฉะนั้นตัวรู้ที่ตรงต่อลมกระทบ รู้ที่ตรงต่อกิริยาที่เคลื่อนไหวของกายของใจทั้งหมดเป็นมรรคหมดเลย รู้อย่างบริสุทธิ์ในรู้นั้นจะไม่มีความพอใจ ไม่มีความไม่พอใจ เรียกว่า นาภิชฺฌาโทมนสฺสา ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ เป็น ปาปกา อกุสลา ธมฺมา เป็นอกุศลธรรมอันเป็นบาป ถ้ามี 2 ตัวนี้อยู่ ไม่ชื่อว่ามีความรู้สึกตัวในขณะนั้น ถ้าไม่มีความรู้สึกตัวในขณะนั้น ไม่ถือเป็นมรรค เป็นมรรคไม่ได้ เรื่องสุดท้ายนี้สำคัญนะ ทุกอย่างไปทำในชีวิตประจำวันได้หมดเลย
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 26-28 พ.ค. 66 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.
ณ สถานปฏิบัติธรรมวชิรญาณ ๒๐๐ ปี วัดบวรนิเวศ
คอร์สนี้สรุปคำเดียว ผู้รู้ เป็นเรื่องที่ไม่ได้พูดเน้นในคอร์สอื่นๆ คอร์สนี้เป็นคอร์สแรกที่เราเริ่มสอนเรื่องผู้รู้และการปฏิบัติที่ให้ผู้รู้ รู้อย่างอิสระในกิริยาที่เป็นธรรมชาติ เพื่อที่จะไปใช้ต่อยอดในชีวิตประจำวัน ต้องดู Keyword ของมัน คอร์สนี้เท่านั้น นอกนั้นก็เหมือนเดิม บ่มความตั้งมั่น แต่ว่าตัว Keyword ก็คือว่า ตัวผู้รู้มีอิสระอยู่กับกิริยากายใจอย่างเป็นธรรมชาติในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อวานชิมลางแล้ว เพราะฉะนั้น แต่ละคอร์สที่อาตมาเปิด จะมีหัวใจของมันอยู่ทุกๆคอร์สที่เดินทางมาเป็นคอร์สต่อเนื่อง แล้วก็ฝากคนใหม่ๆนะ อย่าชะล่าใจ อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเข้าใจแล้ว
อีกตัวหนึ่งที่เน้นขึ้นมาก็คือ เรื่องรู้กับเรื่องเรา รู้จริงๆกับคิดรู้ไม่เหมือนกัน มีคำถามคำถามหนึ่งที่สำคัญมาก ก็ควรแก่การที่จะนำมาพูดให้ฟังว่า ในระหว่างที่เราปฏิบัติอยู่ หรือเราอยู่ในชีวิตประจำวัน เราเกิดสงสัยว่าเรารู้หรือเราคิด ระหว่างรู้กับคิดมันต่างกัน ถ้ารู้จะไม่มีความตั้งใจที่จะไปรู้เลย มันรู้ของมันเอง อย่างเรานั่งทำงานอยู่ แล้วมีความคิดเกิดขึ้น แล้วมีตัวรู้ไปรู้ว่าคิด โดยที่เราไม่มีความตั้งใจรู้ ถ้าตัวรู้รู้ความคิดนั้นจะดับทันที แต่ถ้าคิดเกิดแล้ว แล้วมีความเพ่งไปที่ความคิดเพื่อที่จะรู้ เพ่งเพื่อที่จะให้มันดับ จงจำไว้ อันนั้นเป็นคิดซ้อนคิด ไม่ใช่รู้ เป็นเราล้วนๆ แล้วทำไมต้องรู้ ก็ให้รู้ไว้เฉยๆ เพราะเราทำงานตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่รู้นานๆที ถ้ารู้เขาจะรู้ของเขาเอง เขาไม่ต้องมาให้ใครมาบงการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ให้สังเกตไว้ เพราะจะเกิดได้ตลอดในเส้นทางปฏิบัติต่อไปในวันข้างหน้า ในขณะที่เราอยู่กับวิหารตัวใด สมมติรู้อยู่กับลม มีลมเป็นวิหาร แล้วมันไปรู้ความคิด แล้วความคิดดับ อันนั้นรู้มันรู้ของมันเอง เราเพียงแค่รู้จักการสังเกตซ้ำลงไป ว่านี่รู้ มันจะรู้จักรู้มากขึ้น เข้าใจรู้มากขึ้น รู้ที่เรารู้จักมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น เขาจะมีกำลังมากขึ้น มันจะยิ่งดึงเข้ามา โผล่เข้ามา ชัดขึ้น ชัดขึ้น นี่แหละการที่จะหลุดออกจากอวิชชาและโมหะก็ต้องสู้กับเขาแบบนี้ ถ้าไม่สู้กับมันเราก็ดำผุดดำว่ายอยู่ใต้อำนาจของมันตลอดเวลา
เรื่องที่ 3 ซึ่งมีอยู่เกือบทุกคอร์สหลังๆที่พูดมา คือ ให้รูปนาม ให้ชีวิตนี้เป็นที่ทำการของมรรค คือให้มรรคเกิดการเคลื่อนไหวอยู่กับชีวิตประจำวันของเราให้ได้ ถ้ากายใจนี้เป็นที่ตั้งของมรรค ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรกันเลยนะ กลับขั้วกันเลยนะ คนละเรื่องกันเลย แล้วรู้หรือยังว่าเคลื่อนไหวด้วยมรรคต้องเคลื่อนไหวอย่างไร จุดที่จะปรากฏได้คือความรู้สึกตัว ที่พูดไว้ ตตฺถ สมฺปชาโน โหติ เวลาเคลื่อนไหวด้วยมรรคจะไม่มีความพอใจ ไม่มีความไม่พอใจ ในการยืน เรียกว่ารู้ตัวในการยืน ไม่มีความพอใจ ไม่มีความไม่พอใจ ในการนั่ง รู้ในการนั่งโดยที่ไม่มีความพอใจ และไม่พอใจ ทั้ง 2 อย่างไม่เกิด นั่นเรียกว่ารู้ตัวในการนั่ง นั่นคือการทำงานของมรรค เวลาเดิน รู้ตัวในการเดินเป็นการทำงานของมรรค คือ ไม่มีความพอใจ และไม่มีความไม่พอใจอยู่ในการเดินนั้น เรียกว่ารู้ตัวในการเดิน ให้จำไว้ ถ้าเมื่อใดที่มีความพอใจในขณะที่เดิน มีความพอใจในขณะที่นั่ง มีความพอใจในขณะที่ยืน นั่นไม่ได้ชื่อว่าเป็นที่ทำการของมรรค เวลาทำการของมรรค จะอยู่ตรงกลาง ไม่อยู่ขั้วของความพอใจ ไม่อยู่ขั้วของความไม่พอใจ เครื่องที่จะประคองให้มรรคนี้เจริญขึ้นเรื่อยๆ คือ จิตผู้รู้ที่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ เวลาเรารู้ตรงต่ออาการของกายของใจในแต่ละครั้งเป็นมรรคอยู่ทุกที แต่ตอกย้ำลงไปว่า ถ้ามีชีวิตอยู่ รู้สึกตัวว่าไม่ตาย ให้เป็นที่ตั้งของมรรค รู้สึกตัวคราใด ให้เป็นที่ตั้งของมรรคครานั้น แล้วจะเกิดอานิสงส์มหาสารเลย เพราะว่ามรรคเป็นเส้นทางที่ชื่อว่า มัชฌิมาปฏิปทา มรรคเป็นเหมือนการสร้างสะพานสำหรับข้ามทะเลแห่งโมหะ มรรคเป็นตัวทำลายเครื่องเรือน มรรคเป็นตัวทำลายภพชาติในที่สุด มรรคเป็นตัวสะพานที่ทำให้เราเดินไปจนถึงเป้าหมายที่เราจะตั้งไว้ เพราะฉะนั้นตัวรู้ที่ตรงต่อลมกระทบ รู้ที่ตรงต่อกิริยาที่เคลื่อนไหวของกายของใจทั้งหมดเป็นมรรคหมดเลย รู้อย่างบริสุทธิ์ในรู้นั้นจะไม่มีความพอใจ ไม่มีความไม่พอใจ เรียกว่า นาภิชฺฌาโทมนสฺสา ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ เป็น ปาปกา อกุสลา ธมฺมา เป็นอกุศลธรรมอันเป็นบาป ถ้ามี 2 ตัวนี้อยู่ ไม่ชื่อว่ามีความรู้สึกตัวในขณะนั้น ถ้าไม่มีความรู้สึกตัวในขณะนั้น ไม่ถือเป็นมรรค เป็นมรรคไม่ได้ เรื่องสุดท้ายนี้สำคัญนะ ทุกอย่างไปทำในชีวิตประจำวันได้หมดเลย
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน