
Sign up to save your podcasts
Or


การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
สังเกตพอเรานั่งสมาธิ ออกมาปั๊บเราจะเห็นทุกอย่าง รู้ทุกอย่างเลยว่ามันนิ่งอยู่ ที่นิ่งอยู่เพราะอุเบกขาคือตัวความตั้งมั่นหรือตัวสมาธิยังอยู่ เราก็ดูมันไปเรื่อยๆ พอเราได้สภาวะนี้แล้ว ในระหว่างคอร์สนี้ ให้ตัวรู้นี้นิ่งรู้เฉยอยู่ภายในอย่างนี้บ่อยๆ วิธีการคือเราชําเลืองดูมัน เวลาเรารู้สึกตัว เช่น เวลาเราเดินไปมันหลุดออกไป เรารู้สึกตัวได้เราก็ชำเลืองเข้าไปที่นิ่งรู้เฉยอยู่ พอแค่เราชําเลืองวกเข้าไปมันก็ตั้งขึ้นทันที ยามที่เราทําโน่นทํานี่เผลอไป เราก็วกเข้าไป ท่านบอกว่าให้เหมือนโคแม่ลูกอ่อนที่เล็มหญ้าอยู่ด้วย ชําเลืองดูลูกน้อยด้วย ทุกครั้งที่เราวกเข้าไปแล้วเราชําเลืองดูได้ แล้วมีสภาวะนิ่งรู้เฉยอยู่ตั้งขึ้น เป็นตัวที่จะต่อยอดการภาวนา เมื่อรู้เป็นระยะ ระยะ ในที่สุดแล้วรู้จะต่อเนื่องเป็นอันเดียวกัน
วิชานี้จะไม่ทําให้ท่านทั้งหลายตกนรก เพราะเมื่อนิ่งรู้เฉยอยู่จนคุ้นชินมีกําลังที่มั่นคงได้แล้วในกิริยาชีวิต จิตดวงสุดท้ายเวลาจะดับ จะตายพูดง่ายๆ ถึงเวลาที่เราจะตายมันทําอะไรไม่ได้แล้ว ตัวนี้ที่เราฝึกฝนไว้มันจะออกมา นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ แต่ถ้าเราไม่มีตัวนี้ไม่ได้ฝึกฝนให้มันแข็งแรง ตอนจะตายมันก็จะดีดดิ้น ใจก็จะเศร้าหมอง ตายด้วยจิตที่เศร้าหมองก็ลงนรกไปอบายหมด แค่นิ่งรู้เฉยอยู่ได้เห็นสภาวะได้ วกเข้าไปแต่ละครั้ง แต่ละครั้ง แต่ละครั้ง บุญมหาศาลเลยนะ เพราะมันจะเป็นที่ตั้งของปัญญาที่จะทําให้เกิดการรู้จริงเห็นจริงต่อไป อันนี้วันนี้ก็ฝึกไว้ตรงนี้ก่อน แล้วก็จากนี้ในคอร์สนี้ไม่ว่าร่างกายจิตใจจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม ฝากไว้อย่างเดียว วกเข้าไปเหมือนโคแม่ลูกอ่อน วกเข้าไปที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ตัวนี้เป็นการภาวนาแบบง่ายๆ
ไม่ต้องมุ่งอะไรมากคอร์สนี้ เอาแค่มีสภาวะนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระแล้วก็ดูอาการกายอาการใจอย่างเป็นธรรมชาติ ให้รู้มีที่อาศัยโดยมีลมเป็นเครื่องอยู่เป็นหลัก แค่นี้ จะทําอะไรก็วกเข้าไป
ดูสภาวะตัวนี้ไว้นะ นิ่งรู้เฉยอยู่ ดู เวลาดูทำกายให้นิ่งๆแล้วก็ดู วกเข้าไปดู วกเข้าไปดู พระพุทธเจ้าท่านว่าให้เหมือน
โคแม่ลูกอ่อนที่เล็มหญ้าอยู่ด้วยชําเลืองดูลูกน้อยด้วย
ตรุณวจฺฉา ถพฺภญฺจ อาลุปฺปติ วจฺฉกญฺจ อปจินติ
เหมือนกันในกิริยาชีวิตพอเผลอเราก็มอง อย่าทิ้ง ตราบใดที่เราชำเลืองเข้าไปให้รู้นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระ ปรากฏขึ้น นั่นเรียกว่ามันจะโตวันโตคืน และตัวที่จะเกิดอยู่ในนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ก็คือสติ สมาธิ และปัญญา
เช้าพอตื่นรู้สึกตัวก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นอน วกเข้าไปก่อนเลย นิ่งรู้เฉยอยู่แล้วก็ดูลม หลังจากนั้นรู้อยู่ข้างใน ทำอะไรก็รู้ รู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่รู้ได้ บางทีลืมไป นึกขึ้นมาได้ก็วกเข้าไป ให้อยู่กับรู้เป็นส่วนมาก
ยุคนี้นะโรคเยอะ ถ้าขาดภาวนาอย่างที่ท่านทั้งหลายฝึกฝนกันอยู่ ชีวิตนี้ไร้สาระทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่เรามีสุดท้ายธรรมชาติเอาคืนหมด ในที่สุดแม้แต่ร่างกายมันก็เอาคืน แต่ภาวนาจะไม่ไร้สาระเพราะกายกับใจมันคนละตัว เวลาแก่เจ็บตาย คือกายไม่เกี่ยวกับใจ ใจนี้ใจเดิมดั้งเดิม ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่ทําไมเรารู้สึกว่าแก่ทั้งรูปทั้งนาม เพราะใจเข้าใจว่าร่างกายเป็นของมัน แต่จริงๆมันอยู่คนละตัวใจอาศัยกาย กายเป็นเครื่องมือของใจ ใจอาศัยกาย ใจจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่ใจอาศัยกายเป็นเครื่องอยู่ แล้วอาศัยอุปาทาน คือยึดถือว่ากายนี้เป็นของเรา พอกายมีความแปรเปลี่ยน ใจก็เดือดร้อน แต่ภาวนาแล้วใจจะมีเครื่องอยู่เป็นของใจเอง รู้ที่นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระจะมีอุเบกขาเป็นฐานจะเกิดความตั้งมั่น จิตจึงมีความตั้งมั่นที่ตัวของจิตเอง มันอาศัยเหนือริมฝีปากกับโพรงจมูก แค่เครื่องอาศัย เมื่อเขามีกําลังแข็งแรงขึ้นมาใจจะตั้งมั่นอยู่ที่ใจ จิตจะตั้งมั่นอยู่ที่จิต เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ที่จิตแสดงว่าจิตมีเครื่องอยู่เป็นของจิตเองไม่เกี่ยวกับกาย อันนี้คือสาระที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ในเรื่องของการปฏิบัติ คือเรียนรู้กายเรียนรู้ใจให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ อย่าไปมโน อย่าไปหลงเลย ส่วนมากเราจะจมอยู่กับความหลงว่า โมหเนยฺเยสุ มุจฺฉิโต มันหมกมุ่นชุ่มแช่อยู่กับอารมณ์อันเป็นขี้ข้าของความหลง สุดท้ายรู้ที่เรากําลังภาวนากันอยู่ จะเป็นตัวหลงตัวสุดท้าย พอเราคลายความหลงหมดแล้ว มันจะเหลือแต่หลงรู้ รู้ถึงรู้อาการของกายของใจแสดงออกมา รู้ตรงไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรแล้วทีนี้ มันแจ่มแจ้งในกายในใจแล้ว เหลือแต่รู้ที่นิ่งรู้เฉยอยู่ มันจะเปลื้องรู้ออกไป จะทําให้สติ สมาธิ ปัญญา รวมเป็นตัวเดียวกันตั้งอยู่ที่จิต เป็นอาสวักขยญาณเป็นดวงสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น ถ้าท่านไม่เดินทางบ่มรู้อย่างนี้ ท่านจะเข้าไม่ถึงเลย
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
สังเกตพอเรานั่งสมาธิ ออกมาปั๊บเราจะเห็นทุกอย่าง รู้ทุกอย่างเลยว่ามันนิ่งอยู่ ที่นิ่งอยู่เพราะอุเบกขาคือตัวความตั้งมั่นหรือตัวสมาธิยังอยู่ เราก็ดูมันไปเรื่อยๆ พอเราได้สภาวะนี้แล้ว ในระหว่างคอร์สนี้ ให้ตัวรู้นี้นิ่งรู้เฉยอยู่ภายในอย่างนี้บ่อยๆ วิธีการคือเราชําเลืองดูมัน เวลาเรารู้สึกตัว เช่น เวลาเราเดินไปมันหลุดออกไป เรารู้สึกตัวได้เราก็ชำเลืองเข้าไปที่นิ่งรู้เฉยอยู่ พอแค่เราชําเลืองวกเข้าไปมันก็ตั้งขึ้นทันที ยามที่เราทําโน่นทํานี่เผลอไป เราก็วกเข้าไป ท่านบอกว่าให้เหมือนโคแม่ลูกอ่อนที่เล็มหญ้าอยู่ด้วย ชําเลืองดูลูกน้อยด้วย ทุกครั้งที่เราวกเข้าไปแล้วเราชําเลืองดูได้ แล้วมีสภาวะนิ่งรู้เฉยอยู่ตั้งขึ้น เป็นตัวที่จะต่อยอดการภาวนา เมื่อรู้เป็นระยะ ระยะ ในที่สุดแล้วรู้จะต่อเนื่องเป็นอันเดียวกัน
วิชานี้จะไม่ทําให้ท่านทั้งหลายตกนรก เพราะเมื่อนิ่งรู้เฉยอยู่จนคุ้นชินมีกําลังที่มั่นคงได้แล้วในกิริยาชีวิต จิตดวงสุดท้ายเวลาจะดับ จะตายพูดง่ายๆ ถึงเวลาที่เราจะตายมันทําอะไรไม่ได้แล้ว ตัวนี้ที่เราฝึกฝนไว้มันจะออกมา นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ แต่ถ้าเราไม่มีตัวนี้ไม่ได้ฝึกฝนให้มันแข็งแรง ตอนจะตายมันก็จะดีดดิ้น ใจก็จะเศร้าหมอง ตายด้วยจิตที่เศร้าหมองก็ลงนรกไปอบายหมด แค่นิ่งรู้เฉยอยู่ได้เห็นสภาวะได้ วกเข้าไปแต่ละครั้ง แต่ละครั้ง แต่ละครั้ง บุญมหาศาลเลยนะ เพราะมันจะเป็นที่ตั้งของปัญญาที่จะทําให้เกิดการรู้จริงเห็นจริงต่อไป อันนี้วันนี้ก็ฝึกไว้ตรงนี้ก่อน แล้วก็จากนี้ในคอร์สนี้ไม่ว่าร่างกายจิตใจจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม ฝากไว้อย่างเดียว วกเข้าไปเหมือนโคแม่ลูกอ่อน วกเข้าไปที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ตัวนี้เป็นการภาวนาแบบง่ายๆ
ไม่ต้องมุ่งอะไรมากคอร์สนี้ เอาแค่มีสภาวะนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระแล้วก็ดูอาการกายอาการใจอย่างเป็นธรรมชาติ ให้รู้มีที่อาศัยโดยมีลมเป็นเครื่องอยู่เป็นหลัก แค่นี้ จะทําอะไรก็วกเข้าไป
ดูสภาวะตัวนี้ไว้นะ นิ่งรู้เฉยอยู่ ดู เวลาดูทำกายให้นิ่งๆแล้วก็ดู วกเข้าไปดู วกเข้าไปดู พระพุทธเจ้าท่านว่าให้เหมือน
โคแม่ลูกอ่อนที่เล็มหญ้าอยู่ด้วยชําเลืองดูลูกน้อยด้วย
ตรุณวจฺฉา ถพฺภญฺจ อาลุปฺปติ วจฺฉกญฺจ อปจินติ
เหมือนกันในกิริยาชีวิตพอเผลอเราก็มอง อย่าทิ้ง ตราบใดที่เราชำเลืองเข้าไปให้รู้นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระ ปรากฏขึ้น นั่นเรียกว่ามันจะโตวันโตคืน และตัวที่จะเกิดอยู่ในนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ก็คือสติ สมาธิ และปัญญา
เช้าพอตื่นรู้สึกตัวก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นอน วกเข้าไปก่อนเลย นิ่งรู้เฉยอยู่แล้วก็ดูลม หลังจากนั้นรู้อยู่ข้างใน ทำอะไรก็รู้ รู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่รู้ได้ บางทีลืมไป นึกขึ้นมาได้ก็วกเข้าไป ให้อยู่กับรู้เป็นส่วนมาก
ยุคนี้นะโรคเยอะ ถ้าขาดภาวนาอย่างที่ท่านทั้งหลายฝึกฝนกันอยู่ ชีวิตนี้ไร้สาระทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่เรามีสุดท้ายธรรมชาติเอาคืนหมด ในที่สุดแม้แต่ร่างกายมันก็เอาคืน แต่ภาวนาจะไม่ไร้สาระเพราะกายกับใจมันคนละตัว เวลาแก่เจ็บตาย คือกายไม่เกี่ยวกับใจ ใจนี้ใจเดิมดั้งเดิม ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่ทําไมเรารู้สึกว่าแก่ทั้งรูปทั้งนาม เพราะใจเข้าใจว่าร่างกายเป็นของมัน แต่จริงๆมันอยู่คนละตัวใจอาศัยกาย กายเป็นเครื่องมือของใจ ใจอาศัยกาย ใจจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่ใจอาศัยกายเป็นเครื่องอยู่ แล้วอาศัยอุปาทาน คือยึดถือว่ากายนี้เป็นของเรา พอกายมีความแปรเปลี่ยน ใจก็เดือดร้อน แต่ภาวนาแล้วใจจะมีเครื่องอยู่เป็นของใจเอง รู้ที่นิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระจะมีอุเบกขาเป็นฐานจะเกิดความตั้งมั่น จิตจึงมีความตั้งมั่นที่ตัวของจิตเอง มันอาศัยเหนือริมฝีปากกับโพรงจมูก แค่เครื่องอาศัย เมื่อเขามีกําลังแข็งแรงขึ้นมาใจจะตั้งมั่นอยู่ที่ใจ จิตจะตั้งมั่นอยู่ที่จิต เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ที่จิตแสดงว่าจิตมีเครื่องอยู่เป็นของจิตเองไม่เกี่ยวกับกาย อันนี้คือสาระที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ในเรื่องของการปฏิบัติ คือเรียนรู้กายเรียนรู้ใจให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ อย่าไปมโน อย่าไปหลงเลย ส่วนมากเราจะจมอยู่กับความหลงว่า โมหเนยฺเยสุ มุจฺฉิโต มันหมกมุ่นชุ่มแช่อยู่กับอารมณ์อันเป็นขี้ข้าของความหลง สุดท้ายรู้ที่เรากําลังภาวนากันอยู่ จะเป็นตัวหลงตัวสุดท้าย พอเราคลายความหลงหมดแล้ว มันจะเหลือแต่หลงรู้ รู้ถึงรู้อาการของกายของใจแสดงออกมา รู้ตรงไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรแล้วทีนี้ มันแจ่มแจ้งในกายในใจแล้ว เหลือแต่รู้ที่นิ่งรู้เฉยอยู่ มันจะเปลื้องรู้ออกไป จะทําให้สติ สมาธิ ปัญญา รวมเป็นตัวเดียวกันตั้งอยู่ที่จิต เป็นอาสวักขยญาณเป็นดวงสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น ถ้าท่านไม่เดินทางบ่มรู้อย่างนี้ ท่านจะเข้าไม่ถึงเลย
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน