
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 20-23 มิ.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
เรานั่งสมาธิ ไม่ใช่นั่งเพื่อเอาสมาธินะ สมาธิไม่มีไว้ให้เอา นั่งทํากิจให้ตรงตามทางที่ท่านชี้ไว้
กายนิ่งจะเป็นทางให้จิตนิ่ง สภาวะที่กายนิ่งตรงก็เกิดเป็นกุศลทันที
จิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระบนกายที่ไม่กระสับกระส่ายจะมีสติและแลอยู่ สติตัวนั้นเป็นมหาสติเพราะมันเป็นใหญ่ในกาย ณ ขณะนี้ ก็รู้ลมด้วย รู้กายทั้งกายด้วย เราไม่ได้ไปตั้งใจรู้ลม ไม่ได้ตั้งใจรู้กายนะ แต่สติรู้ของเขาเอง เพราะมันมีอาการกายที่เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น จิตนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ เมื่อลมเคลื่อน สติก็เข้าไปจับลมนั้น
จิตนิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระที่ฐาน มีความคิดอันใดที่เป็นจิตตสังขารแลบมา สติก็เข้าไปรู้ ในฐานะที่แค่รู้แค่ดู จิตถูกสติกั้นอยู่ที่ฐาน ความคิดนั้นจะดับไปทันที เมื่อมีสติจับได้ จิตนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ จิตมีอุเบกขาเป็นอารมณ์อันเดียว คือ นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ
พระพุทธเจ้าท่านว่า สจิตฺตมนุรกฺขถ พวกเธอจงตามรักษาจิต มันไม่ได้ตามด้วยอะไรอื่น จิตอยู่ข้างในและมีสติคอยตามรักษา รู้สิ่งที่ปรากฏทั้งกายและใจ แค่มีสติเข้าไปรู้ทุกๆสภาวะจิตก็จะมีอุเบกขา เราเรียกว่า เอกัคคตาจิต ในความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งโดยมีอุเบกขาเป็นฐาน เขายังมีการตริการตรอง มีความรู้สึกนุ่มนวล ผุดผ่อง สบายๆอยู่ภายใน แต่จิตไม่ตกอยู่ในอํานาจของวิตกวิจาร ไม่ตกอยู่ในอํานาจของความผุดผ่อง ความสบายนั้นๆยังคงนิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระ มีอุเบกขาเป็นฐานเป็นอารมณ์ของจิต มีสติคอยทําหน้าที่รู้สิ่งที่เคลื่อนไหว อันนี้เรียกว่า ผุดผ่องอย่างอิสระ
จิตที่มีความตั้งมั่นอันมีกําลังของกุศลวิบากเพิ่มขึ้นมีกําลังมากขึ้น ก็จะเป็นมรรคขึ้นมา ถ้าทําได้อย่างนี้ แค่นี้เท่านั้น มันก็จะส่งผลให้เกิด ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหาราย สํวตฺตติ มันเป็นไปเพื่อความสุขอันเป็นปัจจุบันแล้ว เพราะจิตไม่ตกอยู่ในอํานาจของอกุศลใดๆได้ มีอกุศลเกิดปั๊บ จิตดู จิตไม่ตกอยู่ในอํานาจของอกุศล ก็จะทําให้เกิดความสุข ใน ทิฏฺฐธมฺ คือ ในปัจจุบันขณะ
ดูอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กําลังของความตั้งมั่นอันมีอุเบกขาเป็นฐานมีกําลังเพิ่มขึ้นก็จะเกิดญาณทัศนะ คือ การรู้เห็นซึ่งความเกิดและความดับของจิตตสังขารของอาการกายของอาการใจ ปัญญาอันเกิดจากญาณทัศนะที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะก็ลงสู่จิต ทําให้กําลังของสติสัมปชัญญะมีกําลังมากขึ้น สติสัมปชัญญะที่เข้าไปรู้ เข้าไปดู จิตตสังขารก็ดี อาการกายก็ดี เวทนาก็ดี มันก็จะเร็วและมีกําลังเพิ่มขึ้น สติที่มีกําลังเพิ่มขึ้นและก็ทํางานแยกได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้น อันนี้ก็เป็นผลที่เรียกว่า สติสมฺปชญฺญาย สํวตฺตติ คือ มันเป็นไปซึ่งการได้มาซึ่งสติสัมปชัญญะอันมีกําลัง
เมื่อได้มาซึ่งสติสัมปชัญญะอันมีกําลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันจะรวมทุกอย่าง สติ สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิปัญญา รวมลงในความตั้งมั่น ความตั้งมั่นก็จะมีองค์ประกอบ ๗ ประการ มาเป็นมรรค มรรคจะมีกําลังเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น มันก็จะเกิดตัวรู้ตัวเห็นที่เท่าทันทันที เรียกว่า รู้ทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์ด้วยความชํานาญในการรู้ทุกข์ ต่อไปก็จะเห็นเหตุ คือ สมุทัย พอเหตุตัวนั้นดับไป ความเป็นนิโรธก็ปรากฏ เพราะฉะนั้นตรงนี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาสวานํ ขยาย สํวตฺตติ อันนี้มันเป็นไปให้ได้มาซึ่งการสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
สุขที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นปัจจุบัน คือ จิตไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีความสุขใดที่มันมีรสมีชาติเท่ากับการที่จิตหยุดการปรุงแต่ง ถ้าสติที่มีกําลังทําให้จิตหยุดการปรุงแต่งได้ด้วยการรู้เท่าทันและกั้นจิตไว้ภายใน หยุดการปรุงแต่งอย่างนั้นได้ นี่เรียกว่า เป็นสุข เป็นสุขประเภทที่เป็นอิสระ อิสระจากการปรุงแต่งด้วยกําลังแห่งอวิชชา แต่มันกําลังอ่อนอยู่ก็เลยให้แค่ความสุขชั้นต้น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
ตสฺส เอวํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส
เมื่อผู้ปฏิบัติส่งตนไปด้วยความไม่ประมาท มีความเพียรอย่างนี้อยู่
อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ
จิตจะตั้งอยู่ข้างในเท่านั้น
แล้วมันก็จะเกิดเป็น สนฺติฏฺฐติ สนฺนิสีทติ เอโกทิโภติ สมาธิยติ จะเกิดเป็นความคงที่ แน่วแน่ ความเป็นหนึ่งเดียว และก็ตั้งมั่น ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถอะไร ขอให้จิตอยู่ข้างในมีสติแลอยู่
ถ้าใครป่วยอยู่ให้สังเกตนะ จิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระมีอุเบกขาเป็นฐาน เมื่อใดก็ตามที่เขานิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ เขาก็ไม่ได้ป่วยด้วยกับกาย คํากล่าวที่ว่าเมื่อกายไม่สบายใจก็จะไม่สบายนี่ไม่จริงนะ โดยทั่วไปใช่ แต่ถ้าจิตที่ตั้งมั่นนิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระมีอุเบกขาเป็นฐาน เขาไม่แปรปรวนไปตามกาย#พระกิตติวิมลเมธี #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 20-23 มิ.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
เรานั่งสมาธิ ไม่ใช่นั่งเพื่อเอาสมาธินะ สมาธิไม่มีไว้ให้เอา นั่งทํากิจให้ตรงตามทางที่ท่านชี้ไว้
กายนิ่งจะเป็นทางให้จิตนิ่ง สภาวะที่กายนิ่งตรงก็เกิดเป็นกุศลทันที
จิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระบนกายที่ไม่กระสับกระส่ายจะมีสติและแลอยู่ สติตัวนั้นเป็นมหาสติเพราะมันเป็นใหญ่ในกาย ณ ขณะนี้ ก็รู้ลมด้วย รู้กายทั้งกายด้วย เราไม่ได้ไปตั้งใจรู้ลม ไม่ได้ตั้งใจรู้กายนะ แต่สติรู้ของเขาเอง เพราะมันมีอาการกายที่เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น จิตนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ เมื่อลมเคลื่อน สติก็เข้าไปจับลมนั้น
จิตนิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระที่ฐาน มีความคิดอันใดที่เป็นจิตตสังขารแลบมา สติก็เข้าไปรู้ ในฐานะที่แค่รู้แค่ดู จิตถูกสติกั้นอยู่ที่ฐาน ความคิดนั้นจะดับไปทันที เมื่อมีสติจับได้ จิตนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ จิตมีอุเบกขาเป็นอารมณ์อันเดียว คือ นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ
พระพุทธเจ้าท่านว่า สจิตฺตมนุรกฺขถ พวกเธอจงตามรักษาจิต มันไม่ได้ตามด้วยอะไรอื่น จิตอยู่ข้างในและมีสติคอยตามรักษา รู้สิ่งที่ปรากฏทั้งกายและใจ แค่มีสติเข้าไปรู้ทุกๆสภาวะจิตก็จะมีอุเบกขา เราเรียกว่า เอกัคคตาจิต ในความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งโดยมีอุเบกขาเป็นฐาน เขายังมีการตริการตรอง มีความรู้สึกนุ่มนวล ผุดผ่อง สบายๆอยู่ภายใน แต่จิตไม่ตกอยู่ในอํานาจของวิตกวิจาร ไม่ตกอยู่ในอํานาจของความผุดผ่อง ความสบายนั้นๆยังคงนิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระ มีอุเบกขาเป็นฐานเป็นอารมณ์ของจิต มีสติคอยทําหน้าที่รู้สิ่งที่เคลื่อนไหว อันนี้เรียกว่า ผุดผ่องอย่างอิสระ
จิตที่มีความตั้งมั่นอันมีกําลังของกุศลวิบากเพิ่มขึ้นมีกําลังมากขึ้น ก็จะเป็นมรรคขึ้นมา ถ้าทําได้อย่างนี้ แค่นี้เท่านั้น มันก็จะส่งผลให้เกิด ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหาราย สํวตฺตติ มันเป็นไปเพื่อความสุขอันเป็นปัจจุบันแล้ว เพราะจิตไม่ตกอยู่ในอํานาจของอกุศลใดๆได้ มีอกุศลเกิดปั๊บ จิตดู จิตไม่ตกอยู่ในอํานาจของอกุศล ก็จะทําให้เกิดความสุข ใน ทิฏฺฐธมฺ คือ ในปัจจุบันขณะ
ดูอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กําลังของความตั้งมั่นอันมีอุเบกขาเป็นฐานมีกําลังเพิ่มขึ้นก็จะเกิดญาณทัศนะ คือ การรู้เห็นซึ่งความเกิดและความดับของจิตตสังขารของอาการกายของอาการใจ ปัญญาอันเกิดจากญาณทัศนะที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะก็ลงสู่จิต ทําให้กําลังของสติสัมปชัญญะมีกําลังมากขึ้น สติสัมปชัญญะที่เข้าไปรู้ เข้าไปดู จิตตสังขารก็ดี อาการกายก็ดี เวทนาก็ดี มันก็จะเร็วและมีกําลังเพิ่มขึ้น สติที่มีกําลังเพิ่มขึ้นและก็ทํางานแยกได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้น อันนี้ก็เป็นผลที่เรียกว่า สติสมฺปชญฺญาย สํวตฺตติ คือ มันเป็นไปซึ่งการได้มาซึ่งสติสัมปชัญญะอันมีกําลัง
เมื่อได้มาซึ่งสติสัมปชัญญะอันมีกําลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันจะรวมทุกอย่าง สติ สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิปัญญา รวมลงในความตั้งมั่น ความตั้งมั่นก็จะมีองค์ประกอบ ๗ ประการ มาเป็นมรรค มรรคจะมีกําลังเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น มันก็จะเกิดตัวรู้ตัวเห็นที่เท่าทันทันที เรียกว่า รู้ทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์ด้วยความชํานาญในการรู้ทุกข์ ต่อไปก็จะเห็นเหตุ คือ สมุทัย พอเหตุตัวนั้นดับไป ความเป็นนิโรธก็ปรากฏ เพราะฉะนั้นตรงนี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาสวานํ ขยาย สํวตฺตติ อันนี้มันเป็นไปให้ได้มาซึ่งการสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
สุขที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นปัจจุบัน คือ จิตไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีความสุขใดที่มันมีรสมีชาติเท่ากับการที่จิตหยุดการปรุงแต่ง ถ้าสติที่มีกําลังทําให้จิตหยุดการปรุงแต่งได้ด้วยการรู้เท่าทันและกั้นจิตไว้ภายใน หยุดการปรุงแต่งอย่างนั้นได้ นี่เรียกว่า เป็นสุข เป็นสุขประเภทที่เป็นอิสระ อิสระจากการปรุงแต่งด้วยกําลังแห่งอวิชชา แต่มันกําลังอ่อนอยู่ก็เลยให้แค่ความสุขชั้นต้น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
ตสฺส เอวํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส
เมื่อผู้ปฏิบัติส่งตนไปด้วยความไม่ประมาท มีความเพียรอย่างนี้อยู่
อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ
จิตจะตั้งอยู่ข้างในเท่านั้น
แล้วมันก็จะเกิดเป็น สนฺติฏฺฐติ สนฺนิสีทติ เอโกทิโภติ สมาธิยติ จะเกิดเป็นความคงที่ แน่วแน่ ความเป็นหนึ่งเดียว และก็ตั้งมั่น ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถอะไร ขอให้จิตอยู่ข้างในมีสติแลอยู่
ถ้าใครป่วยอยู่ให้สังเกตนะ จิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระมีอุเบกขาเป็นฐาน เมื่อใดก็ตามที่เขานิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ เขาก็ไม่ได้ป่วยด้วยกับกาย คํากล่าวที่ว่าเมื่อกายไม่สบายใจก็จะไม่สบายนี่ไม่จริงนะ โดยทั่วไปใช่ แต่ถ้าจิตที่ตั้งมั่นนิ่งเฉยอยู่อย่างอิสระมีอุเบกขาเป็นฐาน เขาไม่แปรปรวนไปตามกาย#พระกิตติวิมลเมธี #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร