
Sign up to save your podcasts
Or


อบรมอานาปานสติ ครั้งที่ 88 โดย (พระกิตติวิมลเมธี) พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม วัดบุปผารามวรวิหาร
วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2566 ณ อาคารธรรม ดีรุ่งโรจน์
โลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์
โลกคือสังขารร่างกายนี้เป็นไปเพื่อความวอดวาย เป็นไปเพื่อความแตกทำลาย เป็นไปเพื่อความย่อยยับ
ชีวิตํ อตฺตภาโว จ สุขทุกฺขา จ เกวลา เอกจิตฺตสมายุตฺตา ลหุโส วตฺตเต ขโณชีวิตอัตตภาพร่างกายสุขทุกข์ทั้งหมดอยู่ที่ขณะจิตนี้เท่านั้น และขณะจิตนี้จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ฉับพลัน
ถ้าเราไม่อบรมไม่ฝึกฝน สติ สัมปชัญญะ ไม่พัฒนา สติ สมาธิ ปัญญาในขณะจิตนั้นๆ ไม่มีอะไรไปทัดทานได้ สู้ภัยความแก่ ความเจ็บป่วย ความตายไม่ได้
ในการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาให้เป็นดวงรู้ของจิต ซึ่งสามารถที่จะสงบนิจนิรันดร์ได้อยู่ในทุกสถานการณ์อสาเร สารมติโน คนเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ เห็นความย่อยยับ เห็นชีวิตตนเองว่าเป็นแก่นสาร เป็นอมตะ เห็นสิ่งที่ตนมีว่าเที่ยง ยั่งยืนสารญฺจา อสารทสฺสิโน เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ มีความรู้แล้ว เจอพระพุทธศาสนาแล้ว เจอพระพุทธเจ้าแล้ว เห็นแล้ว รู้แล้ว ว่าการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงอย่างไร ในรูปนามนี้มีทั้งทางแห่งการเกิดทุกข์ ทางพ้นทุกข์ แต่พอจะเดินไปทางแห่งความพ้นทุกข์ ก็เห็นว่ามันไร้สาระ ไม่ใช่แก่นสาร เสียเวลาเต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา เหมือนคนที่จะปลูกบ้านแล้วเอาต้นกล้วยมาเป็นเสา ไม่มีแก่น ไม่มีสาระ ถ้าคนที่ไม่มีตัวรู้ ไม่มีสติสมาธิ ไม่ได้เดินรอบของปัญญาในขณะจิต ก็จะปรารภเหตุด้านนอก แม้นแต่ปรารภเหตุด้านในก็จะถูกปรุงแต่งด้วยอำนาจของอวิชชา อวิชชาเมื่อเค้าถูกปรุงแต่งเข้ามาด้านใน ก็จะนำพาไปสู่ มิจฉาสังกัปปะโคจรา คือพาท่องไปกับอารมณ์ผิดๆอยู่สม่ำเสมอ ก่อขึ้นมาเป็นอาสวะ ตกผลึกเป็นอนุสัย โคจรในชีวิตประจำวัน ไปตามอำนาจของนิวรณ์ เป็นอย่างนี้ในด้านของอวิชชา พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องเหล่านี้ จึงนำมาสอน เดินออกมา ทำเหตุให้ถูก ทำความเข้าใจถึงความเป็นจริงของรูปนามนี้ แล้วเดินปัญญาจนรู้เท่าทันในความเป็นจริงของรูปนามนี้ทั้งหมด จะพลิกขั้วจากอวิชชาเป็นวิชชา อวิชชาจะเกิดร่วมกับการเคลื่อนไหวทางอายตนะภายใน แล้วก่อให้เกิดสังขารปรุงแต่งไปจนเกิดทุกข์ พออวิชชาความคุมอายตนะภายใน แต่เรามีความปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ เราก็ไปพยายามปฏิบัติเรื่องราวต่างๆให้พ้นจากทุกข์ แต่ยังอยู่ในอำนาจของอวิชชาก็ไปปลุกฝังความเป็นตัวตนขึ้น เพิ่มพูนขึ้น หาแต่ความพอใจ ถูกใจ สบายใจ ยึดความคิดความเข้าใจของเราว่าถูกต้อง ตัวยึดนี้จะรัดรึงไม่ให้เราออกมาจากอวิชชาได้ ตัวอวิชชาพอกพูนจนเป็นก้อนสักกายะ พอทะลุเข้าไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มาตั้งตัวระลึกรู้ไว้ที่กาย แล้วให้ตัวระลึกรู้นี้รู้กายในกาย คือรู้ลมที่กระทบออก ลบกระทบเข้า ลมที่ไหลออก แม้เราจะกำหนดลมหายใจออก แต่ลมที่กระทบกับกายประสาท ที่ตัวรู้เข้าไปรู้สึกได้ ลมที่กระทบไม่เกิดจากการกำหนดของเรา ตัวรู้ที่รู้ลมที่กระทบนั้น เป็นตัวรู้ รู้ลมที่เป็นธรรมชาติอันไม่ใช่เรา รู้ไม่ใช่เรา การทำงานของรู้ตรงต่อสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง เมื่อรู้จบ มันก็จะเกิดเป็นกำลังที่เรียกว่าความตั้งมั่น ตอนนั้นเรียกว่า ลมกระทบเป็นวิหารของรู้ ตัวรู้เพียรรู้ รู้ลมทุกประเภท ลมทั้งปวง ไม่เว้นแม้กระทั่งลมที่ไม่ได้กระทบ เรียกว่ารู้กายทั้งปวง ในที่สุดลมหยุด ไม่มีลมใดๆ แต่ตัวรู้รู้ว่ามีการหายใจอยู่ ลมที่หยุดนั้นจะเป็นวิหารของรู้ มีอุเบกขาเป็นฐานอย่างมีกำลัง เมื่อไม่มีลมแล้ว รู้อยู่กับนิ่ง ความรู้สึก เวทนาจะโผล่ขึ้นมา เป็นวิหารของรู้ สุดท้ายเวทนาก็จะดับไป เข้าไปสู่ความระงับของจิต ความเป็นอารมณ์อันเดียวของจิตก็จะผุดขึ้นมาเป็นวิหารของรู้ จิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ขึ้นมาในจิต ตัวตั้งมั่นจะทำให้เห็นตัวรู้ ตัวรู้จะถูกดู ถูกเห็นมาตลอดเวลาที่เราภาวนา ตัวจิตที่ตั้งมั่นเห็นจากด้านใน จากความตั้งมั่นของจิต แล้วเปลื้องตัวรู้นั้นออกไปให้เหลือเพียงแค่รู้อย่างบริสุทธิ์ที่อยู่กับจิตตั้งมั่น เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นความไม่เที่ยง ความดับ วิราคะ อาการสลัดคืนออกไปของอุปาทานขันธ์ทั้งหมด ตัวรู้ก็จะเป็นอิสระ ตัวรู้นี้เป็นองค์ของญาณ อาสวักขยญาณ
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)อบรมอานาปานสติ ครั้งที่ 88 โดย (พระกิตติวิมลเมธี) พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม วัดบุปผารามวรวิหาร
วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2566 ณ อาคารธรรม ดีรุ่งโรจน์
โลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์
โลกคือสังขารร่างกายนี้เป็นไปเพื่อความวอดวาย เป็นไปเพื่อความแตกทำลาย เป็นไปเพื่อความย่อยยับ
ชีวิตํ อตฺตภาโว จ สุขทุกฺขา จ เกวลา เอกจิตฺตสมายุตฺตา ลหุโส วตฺตเต ขโณชีวิตอัตตภาพร่างกายสุขทุกข์ทั้งหมดอยู่ที่ขณะจิตนี้เท่านั้น และขณะจิตนี้จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ฉับพลัน
ถ้าเราไม่อบรมไม่ฝึกฝน สติ สัมปชัญญะ ไม่พัฒนา สติ สมาธิ ปัญญาในขณะจิตนั้นๆ ไม่มีอะไรไปทัดทานได้ สู้ภัยความแก่ ความเจ็บป่วย ความตายไม่ได้
ในการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาให้เป็นดวงรู้ของจิต ซึ่งสามารถที่จะสงบนิจนิรันดร์ได้อยู่ในทุกสถานการณ์อสาเร สารมติโน คนเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ เห็นความย่อยยับ เห็นชีวิตตนเองว่าเป็นแก่นสาร เป็นอมตะ เห็นสิ่งที่ตนมีว่าเที่ยง ยั่งยืนสารญฺจา อสารทสฺสิโน เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ มีความรู้แล้ว เจอพระพุทธศาสนาแล้ว เจอพระพุทธเจ้าแล้ว เห็นแล้ว รู้แล้ว ว่าการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงอย่างไร ในรูปนามนี้มีทั้งทางแห่งการเกิดทุกข์ ทางพ้นทุกข์ แต่พอจะเดินไปทางแห่งความพ้นทุกข์ ก็เห็นว่ามันไร้สาระ ไม่ใช่แก่นสาร เสียเวลาเต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา เหมือนคนที่จะปลูกบ้านแล้วเอาต้นกล้วยมาเป็นเสา ไม่มีแก่น ไม่มีสาระ ถ้าคนที่ไม่มีตัวรู้ ไม่มีสติสมาธิ ไม่ได้เดินรอบของปัญญาในขณะจิต ก็จะปรารภเหตุด้านนอก แม้นแต่ปรารภเหตุด้านในก็จะถูกปรุงแต่งด้วยอำนาจของอวิชชา อวิชชาเมื่อเค้าถูกปรุงแต่งเข้ามาด้านใน ก็จะนำพาไปสู่ มิจฉาสังกัปปะโคจรา คือพาท่องไปกับอารมณ์ผิดๆอยู่สม่ำเสมอ ก่อขึ้นมาเป็นอาสวะ ตกผลึกเป็นอนุสัย โคจรในชีวิตประจำวัน ไปตามอำนาจของนิวรณ์ เป็นอย่างนี้ในด้านของอวิชชา พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องเหล่านี้ จึงนำมาสอน เดินออกมา ทำเหตุให้ถูก ทำความเข้าใจถึงความเป็นจริงของรูปนามนี้ แล้วเดินปัญญาจนรู้เท่าทันในความเป็นจริงของรูปนามนี้ทั้งหมด จะพลิกขั้วจากอวิชชาเป็นวิชชา อวิชชาจะเกิดร่วมกับการเคลื่อนไหวทางอายตนะภายใน แล้วก่อให้เกิดสังขารปรุงแต่งไปจนเกิดทุกข์ พออวิชชาความคุมอายตนะภายใน แต่เรามีความปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ เราก็ไปพยายามปฏิบัติเรื่องราวต่างๆให้พ้นจากทุกข์ แต่ยังอยู่ในอำนาจของอวิชชาก็ไปปลุกฝังความเป็นตัวตนขึ้น เพิ่มพูนขึ้น หาแต่ความพอใจ ถูกใจ สบายใจ ยึดความคิดความเข้าใจของเราว่าถูกต้อง ตัวยึดนี้จะรัดรึงไม่ให้เราออกมาจากอวิชชาได้ ตัวอวิชชาพอกพูนจนเป็นก้อนสักกายะ พอทะลุเข้าไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มาตั้งตัวระลึกรู้ไว้ที่กาย แล้วให้ตัวระลึกรู้นี้รู้กายในกาย คือรู้ลมที่กระทบออก ลบกระทบเข้า ลมที่ไหลออก แม้เราจะกำหนดลมหายใจออก แต่ลมที่กระทบกับกายประสาท ที่ตัวรู้เข้าไปรู้สึกได้ ลมที่กระทบไม่เกิดจากการกำหนดของเรา ตัวรู้ที่รู้ลมที่กระทบนั้น เป็นตัวรู้ รู้ลมที่เป็นธรรมชาติอันไม่ใช่เรา รู้ไม่ใช่เรา การทำงานของรู้ตรงต่อสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง เมื่อรู้จบ มันก็จะเกิดเป็นกำลังที่เรียกว่าความตั้งมั่น ตอนนั้นเรียกว่า ลมกระทบเป็นวิหารของรู้ ตัวรู้เพียรรู้ รู้ลมทุกประเภท ลมทั้งปวง ไม่เว้นแม้กระทั่งลมที่ไม่ได้กระทบ เรียกว่ารู้กายทั้งปวง ในที่สุดลมหยุด ไม่มีลมใดๆ แต่ตัวรู้รู้ว่ามีการหายใจอยู่ ลมที่หยุดนั้นจะเป็นวิหารของรู้ มีอุเบกขาเป็นฐานอย่างมีกำลัง เมื่อไม่มีลมแล้ว รู้อยู่กับนิ่ง ความรู้สึก เวทนาจะโผล่ขึ้นมา เป็นวิหารของรู้ สุดท้ายเวทนาก็จะดับไป เข้าไปสู่ความระงับของจิต ความเป็นอารมณ์อันเดียวของจิตก็จะผุดขึ้นมาเป็นวิหารของรู้ จิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ขึ้นมาในจิต ตัวตั้งมั่นจะทำให้เห็นตัวรู้ ตัวรู้จะถูกดู ถูกเห็นมาตลอดเวลาที่เราภาวนา ตัวจิตที่ตั้งมั่นเห็นจากด้านใน จากความตั้งมั่นของจิต แล้วเปลื้องตัวรู้นั้นออกไปให้เหลือเพียงแค่รู้อย่างบริสุทธิ์ที่อยู่กับจิตตั้งมั่น เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นความไม่เที่ยง ความดับ วิราคะ อาการสลัดคืนออกไปของอุปาทานขันธ์ทั้งหมด ตัวรู้ก็จะเป็นอิสระ ตัวรู้นี้เป็นองค์ของญาณ อาสวักขยญาณ