คอร์สอานาปานสติ วันที่ 20-23 มิ.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร1. ให้ศีลเป็นเรื่องของการเคลียร์ใจ โดยการเข้าสู่ฐานเป็นที่ตั้งแห่งสติ ศีลทั้ง ๘ จะเป็นอุปการะของสมาธิ ให้ความสำคัญกับศีลในฐานะตัวประคองให้จิตตั้งมั่น2. ดูจิตตสังขาร ความคิด ความหน่วงนึก อารมณ์ทั้งหลาย ด้วยการฉุกระลึกดู ดูโดยที่จิตไม่อยู่ในอำนาจของอุปาทานขันธ์ ไม่ต้องนำจิตเข้าสู่ฐานก่อนดู เพราะนั่นก็คือจิตตสังขารอีกตัวหนึ่ง ใช้ความตั้งมั่นที่สติบ่มขึ้นมา ดูจิตตสังขาร 1) ดู รู้ เห็น ว่าคือความคิด คือจิตตสังขารอาการที่จิตสามารถ ดู รู้ เห็น สติจะกั้นจิตไว้ข้างใน 2) เติมปัญญาให้กับจิต ดูการเกิดและการดับของจิตตสังขารตามธรรมชาติ เหมือนดูลมหายใจ เพราะมันเกิดอยู่เรื่อยๆ ดูมันจนชํานาญเมื่อใด เมื่อนั้นจิตจะมีความตั้งมั่นที่เป็นอิสระ คําว่า “นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ” มันจะบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นๆ จากการดูจิตตสังขาร และเป็นตัวที่จะกันความหลงของจิต หลงทั้งเรื่องข้างในและเรื่องข้างนอก เรื่องข้างใน คือ เรื่องของการปฏิบัติ เรื่องของการภาวนา ให้พึงสังเกตที่เรารู้สึกว่าภาวนาดี ภาวนาไม่ดี หลงทั้งนั้นนะ นั่นคือ อาการหลงของจิต มันไม่มีดี ไม่มีไม่ดี ที่เราว่าดีและไม่ดีนั่นคือหลงทั้งนั้น3. เอโกทิโภติ เอโกทิภาวะ

สะระสังกัปปะ ก็คือ ความคิดที่แล่นออกไปสู่การกระทําต่างๆ ความคิดที่แล่นออกไปนั้น คือ จิตตสังขาร เราต้องดูให้เห็นนะ เพราะว่า ถ้าเราดูจิตตสังขารไม่ได้ มองความคิดไม่เห็น เราจะก้าวหน้ายาก แล้วเลิกมุ่งความนิ่งและความสงบ ความนิ่งและความสงบมันจะรวมอยู่ในความตั้งมั่น ในความตั้งมั่นนั้นถ้าเราจะไปมุ่งความสงบ ตัวที่มุ่งไปหาความสงบนั่นคือตัวจิตตสังขาร ถ้าตรงนี้มันจะเร็ว มันจะเร็วคืออะไร? คือ จิตจะไม่ตกอยู่ในอํานาจของจิตตสังขาร ไม่ตกอยู่ในอํานาจของการปรุงแต่ง พอเห็นความคิดปั๊บ ดูมันปั๊บ แล้วพอเห็นปั๊บ มันก็จะทําให้ดูได้บ่อยๆ พอดูได้ ๑ ครั้ง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง แล้วมันจะเกิดฉันทะขึ้นมาอยู่ในนั้น ดูไล่ไปอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วเราจะเห็นว่า คำว่า อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ อภิปฺปโมทยํ คือ ความรื่นเริงของจิต ตัวนั้นเป็นฉันทะในการที่จิตเห็นจิตตสังขาร

ขนาดฟังนี่เห็นไหม มันยังอยู่เลย เห็นไหม? พูด ขนาดพูดปั๊บ มันก็จะเห็นเลยว่า สิ่งที่สื่อออกไปมันมีจิตตสังขารอยู่ข้างใน ไม่ได้ทําอะไร เราไม่ได้ทําเพื่อละ แค่รู้เฉยๆ แค่ดูเขาเฉยๆ เพราะจิตตสังขารเขาเป็นเหมือนกับควันของไฟ เป็นควันของจิต หรือเรียกว่า มายาจิต คือ จิตตสังขารทั้งหมด แล้วเราปฏิบัติ ถ้าเราไม่เห็นตัวนี้ ไม่ดูตัวนี้ ในลําดับของอานาปานสติ ตั้งแต่ ปีติ สุข แล้วมันมาสรุปลง ว่าจิตตสังขารใช่ไหม? ปีติ สุข ก็คือจิตตสังขารนั่นแหละ แล้วก็เลยลงไปอีก จิตใช่ไหม? ถ้ามองเห็นจิตตสังขารได้ เติมปัญญาลงไปในจิตตสังขารได้ เราอยู่กับการหายใจด้วยจิตที่ตั้งมั่นที่บริสุทธิ์ แล้วมันจะเกิดการร่าเริง ร่าเริงก็คือ จิตในจิต แล้วมันก็ตั้งมั่น ถ้ามันไม่เห็นจิตตสังขาร มันจะไม่ร่าเริง ถ้ามันไม่ร่าเริง ความตั้งมั่นของจิตจะไม่เด็ดขาด และเมื่อมันตั้งมั่นอย่างเด็ดขาด ต่อไปที่มันรู้ทั้งหลาย มันเป็นอนิจจังไหม? ที่เรารู้ลม รู้เท้า รู้เป็นอนิจจังไหม? นั่นแหละจิตที่ตั้งมั่นอย่างเด็ดขาด มันจะเปลื้องตัวรู้นั้นออกไป เรียกว่า วิโมจยํ ทีนี้มันก็จะเป็นธรรมชาติขึ้นมาทั้งหมดเลย ความจริงทั้งหลายก็จะโผล่ขึ้นมา เมื่อตัวรู้นี้ถูกเปลื้องออกไปด้วยจิตที่ตั้งมั่น มันเห็นว่าตัวรู้นี้มันก็เป็นอนิจจัง ถูกไหม? มันก็เปลื้องตัวรู้ออกไป ธรรมชาติทั้งหลายมันก็จะโผล่ออกมา ที่เป็น อนิจฺจานุปสฺสี วิราคานุปสฺสี นิโรธานุปสฺสี ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี มันก็จะโผล่มา โผล่มา แต่ชื่อนี้มันจะทําให้ยาก เอาสรุปง่ายๆ ดูจิตตสังขาร

แม้แต่รู้ตัวทั่วพร้อม มันก็ต้องดูด้วย ดูตรงๆไปเลยว่าที่รู้ตัวพร้อมมันเป็นจิตตสังขาร ก็เป็นได้นะ เพราะว่ามันไม่ได้กั้นจิตให้อยู่ข้างใน พอไม่ได้กั้นจิตให้อยู่ข้างใน การรู้ตัวพร้อมของเรา มันจะเป็นจิตตสังขาร คือ มันจะเป็นความคิดขึ้นมาได้

ที่ให้ฝึกดูจิตตสังขาร เพราะตัวที่เห็นจิตตสังขารนี่สําคัญที่สุด

สรุปกิจหลักของคอร์สนี้1. จิตเข้าสู่ฐานสม่ำเสมอ แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน2. ในยามที่ไม่ได้นั่ง ไม่ได้เดินในรูปแบบ ให้ดูความคิด ความนึก ดูอารมณ์ ด้วยการคิดฉุกระลึก เช่น ตื่นนอนตอนเช้า พอรู้สึกตัว หยิบมือถือดูเวลา เอ๊ะ รู้ความคิดที่จะดูเวลานั้น3. เติมปัญญา ดูการเกิดดับของจิตตสังขาร#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร