
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 26-28 พ.ค. 66 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.ณ สถานปฏิบัติธรรมวชิรญาณ ๒๐๐ ปี วัดบวรนิเวศ
ความเพียรก็คือทำหน้าที่ดู ทำหน้าที่รู้ ทำหน้าที่ชม นั่นคือความเพียร มีอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในการที่จะไปรู้กายรู้ใจนี้ในอิริยาบทอิสระ ด้วยตัวรู้ที่เป็นอิสระ มันมีอาการเดียวที่จะเกิดขึ้น เรียกว่า ลีนํ จิตฺตํ คือ มันจะหดหู่ พอหดหู่แล้วก็จะตกอยู่ในฝ่ายของความเกียจคร้าน แต่มันไม่ถึงกับความขี้เกียจ แต่มันเป็นโกสัชชะ มันหดหู่ห่อเหี่ยว ไม่ฮึกเหิม จะหดหู่ห่อเหี่ยว รู้ว่าอาการร่างกายจิตใจนี้แสดงอาการออกมาเยอะ แต่เราจมอยู่กับความคิด เราจมอยู่กับสภาวะ เราจมอยู่กับความหลง พอจมอยู่กับความหลง สมมติว่านั่งอยู่อย่างนี้ นั่งนึกไปเรื่อย นานๆมารู้ลมสักที นานๆมารู้ลมสักทีหนึ่ง นานๆมารู้กายสักทีหนึ่ง แล้วก็ปล่อยให้จมอยู่กับความคิดไปเรื่อย มันเยอะมาก สังเกตอาการของกายใจที่แสดงออกมา เยอะมาก พอเราเริ่มรู้ จะเห็นเลยว่าเยอะมาก นั่นแหละคือการทำงานของขันธ์ 5 ที่เราท่องกันขันธ์ 5 ทำงานอย่างไร มันไม่มีวันรู้จักหรอก นอกจากอ่านหนังสือ แล้วก็จำ แล้วก็คิด เวลาไปรู้จักจริงๆ นี่แหละรู้จักผ่านทางอาการแสดงของกายของใจ การแสดงออกของร่างกายนี้ ของตัวเองนี้ที่แสดงออกมาทั้งหมด เป็นขันธ์ 5 ทั้งนั้น พอแสดงออกมาครั้งใด เราจมอยู่กับอาการที่แสดงออกมานั้น นั่นคือ อุปาทานขันธ์ของตัวนั้น
ถ้าเป็นอาการของกาย ปวด เราก็ปวดโอย นั่นแหละ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา (ปัญจุปาทานักขันธา) คือ อุปาทานขันธ์ในรูป เขาเรียกว่า รูปูปาทานกฺขนฺโธ (รูปูปาทานักขันโธ) ขันธ์ คือ ความยึดมั่นถือมั่นในรูป พอรู้สึกว่าร้อน เป็นทุกข์ นั่นเวทนาขันธ์ เราอยู่ในเวทนาขันธ์ด้วยอำนาจของอุปาทานขันธ์ บอกว่าเราร้อน ร้อนก็คืออาการของกาย อาการของใจที่มันแสดงออกมา ร้อน เย็น เมื่อย ปวด ก็แสดงออกมาเป็นธรรมชาติของกายของใจนี้ที่แสดงออกมา แต่ตัวรู้ที่เป็นอิสระ ทำไมเราจึงรู้ว่าร้อน ทำไมเราจึงรู้ว่าหนาว ทำไมเราจึงรู้ว่าเมื่อย ทำเราจึงรู้ว่าเหนื่อย ทำไมเราจึงรู้ เพราะมันมีตัวรู้อยู่ แต่เราไม่รู้ ในตัวรู้ที่มีอยู่นั้น เพราะฉะนั้นให้แยกออกมาเป็นสองส่วนนะ ตัวรู้ที่อยู่ภายในตัวหนึ่ง อาการของกายใจที่แสดงออกมาตัวหนึ่ง ทั้งหมดไม่ต้องไปให้ค่าให้ราคาอะไรกับมัน ถ้าเมื่อใดที่เราไปให้ค่าให้ราคากับมัน นั่นคือ การปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้ว และทุกๆการปรุงแต่งเป็นทุกข์ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรอื่น ทุกข์ทั้งหมด แต่เมื่อเราไม่ให้ค่า ตัวรู้ก็ทำหน้าที่ดูไปตรงๆ ก็จะเห็นชัด อาการของกายใจที่แสดงออกมาแต่ละอาการ แต่ละการแสดง เหมือนละครเลย ออกมาแล้วก็ไป แต่รู้ยังอยู่ ตัวดูตัวรู้ตัวชมยังอยู่ ให้เหมือนกับตัวรู้นี้ดูการแสดงของกายของใจ นอกจากตัวรู้ นอกนั้นเป็นการแสดงหมดเลย
ถ้าเราเข้าไปอยู่ในการแสดงตัวใด เราก็หลงไปในตัวนั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า โมหสมฺพนฺธโน โลโก โลกคือกายใจนี้ มีโมหะมาเป็นเครื่องห้อมล้อมอยู่ พอแสดงอาการอะไรออกมา เราทำอย่างนี้ เราเป็นอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ เราเป็นอย่างนั้น โมหะเข้าไปทุกตัวของอาการที่แสดงออกมา
ไม่ใช่ว่าเราไปบังคับรู้ ว่าให้รู้ บังคับรู้นั้นเป็นช่วงของการฝึกก่อนหน้านี้มาเยอะๆ แต่ตอนนี้เราเห็นตัวรู้แล้ว มีตัวรู้อยู่ อย่างที่นั่งฟังนี้ ได้ยินเสียงที่ฟัง ได้ยินเสียงอยู่ แต่ตัวรู้อยู่ข้างใน รู้อยู่ เห็นอยู่ว่ามีตัวรู้อยู่ข้างใน พอมาดูตัวนั่ง อาการของกายตอนนี้แสดงนั่ง กายมันแสดงอาการนั่งมีตัวรู้อยู่ข้างใน ตัวรู้ไม่เกี่ยว ตัวรู้ไม่ได้นั่งด้วยก็แค่ชม แค่ชมการนั่งของกาย อาการนั่งคือกายแสดง ตัวรู้อยู่ข้างในชมการแสดงของกาย ยก ย่าง เหยียบ ตัวรู้อยู่ข้างใน รู้ไปเรื่อย ชมไปเรื่อย มันไม่ใช่เรื่องของการบังคับ ตัวรู้หาย เหลือแต่ตัวเรา ทำอย่างไร ก็นิ่งๆ ทำกายให้ระงับ นั่งหรือยืน เอาตัวผู้รู้เข้าไปสู่นิมิตแล้วก็เข้าสู่ลมกระทบ พอนิ่งเข้าสู่ความสงบได้ เห็นตัวรู้มีอยู่ ก็ดูกายใจแสดงอาการของมันออกมาอีก ทั้งหมดคือการแสดงทั้งสิ้น ไม่มีตัวไหนจริง การแสดงทั้งหมดนี้เป็นการสมมติ ที่เราเรียกว่าสมมติ สมมติ นั่นคือการแสดงของกายของใจทั้งหมดเลย เชื่อถืออะไรไม่ได้ ล้วนแต่มันเกิดดับทั้งสิ้น
แต่ตัวรู้ไม่ใช่ ตัวรู้ชมการแสดง มันจึงเป็นชั่วโมงแห่งการหนัก ที่หนักที่สุดคือเราตามรู้มัน เราดูมันไม่ทัน ตัวรู้ดูการแสดงของกายของใจไม่ทัน ก็ไม่เป็นไร ใน 100 ให้ทันสัก 10 ก็ยังดี ลมหายใจไหลออก ลมหายใจไหลเข้า ก็คือการแสดงของกาย เกิดแล้วก็หาย ไม่มีอะไรเลย แต่รู้ไม่ได้หาย รู้จะค่อยๆ จากเดิมรู้อยู่ พอรู้หายก็ทำจิตผู้รู้เพื่อเจาะให้ตัวรู้ตัวในให้อยู่ที่นิมิตก่อน รู้ลมกระทบก่อน พอตัวผู้รู้ที่เป็นอิสระจากนิมิต แต่อาศัยนิมิตอยู่ รู้ลมออก รู้ลมเข้า รู้ลมออก รู้ลมเข้า พอสงบได้ ตอนนั้นทุกคนจะเห็นได้เลยว่ามีรู้อยู่ เกาะรู้นั้น รู้อาการของกายของใจตามธรรมชาติตามปกติ
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 26-28 พ.ค. 66 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.ณ สถานปฏิบัติธรรมวชิรญาณ ๒๐๐ ปี วัดบวรนิเวศ
ความเพียรก็คือทำหน้าที่ดู ทำหน้าที่รู้ ทำหน้าที่ชม นั่นคือความเพียร มีอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในการที่จะไปรู้กายรู้ใจนี้ในอิริยาบทอิสระ ด้วยตัวรู้ที่เป็นอิสระ มันมีอาการเดียวที่จะเกิดขึ้น เรียกว่า ลีนํ จิตฺตํ คือ มันจะหดหู่ พอหดหู่แล้วก็จะตกอยู่ในฝ่ายของความเกียจคร้าน แต่มันไม่ถึงกับความขี้เกียจ แต่มันเป็นโกสัชชะ มันหดหู่ห่อเหี่ยว ไม่ฮึกเหิม จะหดหู่ห่อเหี่ยว รู้ว่าอาการร่างกายจิตใจนี้แสดงอาการออกมาเยอะ แต่เราจมอยู่กับความคิด เราจมอยู่กับสภาวะ เราจมอยู่กับความหลง พอจมอยู่กับความหลง สมมติว่านั่งอยู่อย่างนี้ นั่งนึกไปเรื่อย นานๆมารู้ลมสักที นานๆมารู้ลมสักทีหนึ่ง นานๆมารู้กายสักทีหนึ่ง แล้วก็ปล่อยให้จมอยู่กับความคิดไปเรื่อย มันเยอะมาก สังเกตอาการของกายใจที่แสดงออกมา เยอะมาก พอเราเริ่มรู้ จะเห็นเลยว่าเยอะมาก นั่นแหละคือการทำงานของขันธ์ 5 ที่เราท่องกันขันธ์ 5 ทำงานอย่างไร มันไม่มีวันรู้จักหรอก นอกจากอ่านหนังสือ แล้วก็จำ แล้วก็คิด เวลาไปรู้จักจริงๆ นี่แหละรู้จักผ่านทางอาการแสดงของกายของใจ การแสดงออกของร่างกายนี้ ของตัวเองนี้ที่แสดงออกมาทั้งหมด เป็นขันธ์ 5 ทั้งนั้น พอแสดงออกมาครั้งใด เราจมอยู่กับอาการที่แสดงออกมานั้น นั่นคือ อุปาทานขันธ์ของตัวนั้น
ถ้าเป็นอาการของกาย ปวด เราก็ปวดโอย นั่นแหละ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา (ปัญจุปาทานักขันธา) คือ อุปาทานขันธ์ในรูป เขาเรียกว่า รูปูปาทานกฺขนฺโธ (รูปูปาทานักขันโธ) ขันธ์ คือ ความยึดมั่นถือมั่นในรูป พอรู้สึกว่าร้อน เป็นทุกข์ นั่นเวทนาขันธ์ เราอยู่ในเวทนาขันธ์ด้วยอำนาจของอุปาทานขันธ์ บอกว่าเราร้อน ร้อนก็คืออาการของกาย อาการของใจที่มันแสดงออกมา ร้อน เย็น เมื่อย ปวด ก็แสดงออกมาเป็นธรรมชาติของกายของใจนี้ที่แสดงออกมา แต่ตัวรู้ที่เป็นอิสระ ทำไมเราจึงรู้ว่าร้อน ทำไมเราจึงรู้ว่าหนาว ทำไมเราจึงรู้ว่าเมื่อย ทำเราจึงรู้ว่าเหนื่อย ทำไมเราจึงรู้ เพราะมันมีตัวรู้อยู่ แต่เราไม่รู้ ในตัวรู้ที่มีอยู่นั้น เพราะฉะนั้นให้แยกออกมาเป็นสองส่วนนะ ตัวรู้ที่อยู่ภายในตัวหนึ่ง อาการของกายใจที่แสดงออกมาตัวหนึ่ง ทั้งหมดไม่ต้องไปให้ค่าให้ราคาอะไรกับมัน ถ้าเมื่อใดที่เราไปให้ค่าให้ราคากับมัน นั่นคือ การปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้ว และทุกๆการปรุงแต่งเป็นทุกข์ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรอื่น ทุกข์ทั้งหมด แต่เมื่อเราไม่ให้ค่า ตัวรู้ก็ทำหน้าที่ดูไปตรงๆ ก็จะเห็นชัด อาการของกายใจที่แสดงออกมาแต่ละอาการ แต่ละการแสดง เหมือนละครเลย ออกมาแล้วก็ไป แต่รู้ยังอยู่ ตัวดูตัวรู้ตัวชมยังอยู่ ให้เหมือนกับตัวรู้นี้ดูการแสดงของกายของใจ นอกจากตัวรู้ นอกนั้นเป็นการแสดงหมดเลย
ถ้าเราเข้าไปอยู่ในการแสดงตัวใด เราก็หลงไปในตัวนั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า โมหสมฺพนฺธโน โลโก โลกคือกายใจนี้ มีโมหะมาเป็นเครื่องห้อมล้อมอยู่ พอแสดงอาการอะไรออกมา เราทำอย่างนี้ เราเป็นอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ เราเป็นอย่างนั้น โมหะเข้าไปทุกตัวของอาการที่แสดงออกมา
ไม่ใช่ว่าเราไปบังคับรู้ ว่าให้รู้ บังคับรู้นั้นเป็นช่วงของการฝึกก่อนหน้านี้มาเยอะๆ แต่ตอนนี้เราเห็นตัวรู้แล้ว มีตัวรู้อยู่ อย่างที่นั่งฟังนี้ ได้ยินเสียงที่ฟัง ได้ยินเสียงอยู่ แต่ตัวรู้อยู่ข้างใน รู้อยู่ เห็นอยู่ว่ามีตัวรู้อยู่ข้างใน พอมาดูตัวนั่ง อาการของกายตอนนี้แสดงนั่ง กายมันแสดงอาการนั่งมีตัวรู้อยู่ข้างใน ตัวรู้ไม่เกี่ยว ตัวรู้ไม่ได้นั่งด้วยก็แค่ชม แค่ชมการนั่งของกาย อาการนั่งคือกายแสดง ตัวรู้อยู่ข้างในชมการแสดงของกาย ยก ย่าง เหยียบ ตัวรู้อยู่ข้างใน รู้ไปเรื่อย ชมไปเรื่อย มันไม่ใช่เรื่องของการบังคับ ตัวรู้หาย เหลือแต่ตัวเรา ทำอย่างไร ก็นิ่งๆ ทำกายให้ระงับ นั่งหรือยืน เอาตัวผู้รู้เข้าไปสู่นิมิตแล้วก็เข้าสู่ลมกระทบ พอนิ่งเข้าสู่ความสงบได้ เห็นตัวรู้มีอยู่ ก็ดูกายใจแสดงอาการของมันออกมาอีก ทั้งหมดคือการแสดงทั้งสิ้น ไม่มีตัวไหนจริง การแสดงทั้งหมดนี้เป็นการสมมติ ที่เราเรียกว่าสมมติ สมมติ นั่นคือการแสดงของกายของใจทั้งหมดเลย เชื่อถืออะไรไม่ได้ ล้วนแต่มันเกิดดับทั้งสิ้น
แต่ตัวรู้ไม่ใช่ ตัวรู้ชมการแสดง มันจึงเป็นชั่วโมงแห่งการหนัก ที่หนักที่สุดคือเราตามรู้มัน เราดูมันไม่ทัน ตัวรู้ดูการแสดงของกายของใจไม่ทัน ก็ไม่เป็นไร ใน 100 ให้ทันสัก 10 ก็ยังดี ลมหายใจไหลออก ลมหายใจไหลเข้า ก็คือการแสดงของกาย เกิดแล้วก็หาย ไม่มีอะไรเลย แต่รู้ไม่ได้หาย รู้จะค่อยๆ จากเดิมรู้อยู่ พอรู้หายก็ทำจิตผู้รู้เพื่อเจาะให้ตัวรู้ตัวในให้อยู่ที่นิมิตก่อน รู้ลมกระทบก่อน พอตัวผู้รู้ที่เป็นอิสระจากนิมิต แต่อาศัยนิมิตอยู่ รู้ลมออก รู้ลมเข้า รู้ลมออก รู้ลมเข้า พอสงบได้ ตอนนั้นทุกคนจะเห็นได้เลยว่ามีรู้อยู่ เกาะรู้นั้น รู้อาการของกายของใจตามธรรมชาติตามปกติ