
Sign up to save your podcasts
Or


ธรรมดีรุ่งโรจน์สัญจร ครั้งที่ 21 คอร์สอานาปานสติ ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ความละเอียดของตัณหา ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องตัด ถ้าเมื่อใดที่เรามุ่งเข้าไปเพื่อจะตัดมันจะไม่หมด
ตาข่าย คือตัณหาอันละเอียด เหมือนกับใยแมงมุม แมงมุมที่ถักใยไว้ แล้วตัวตกลงไปในใยที่ตนถักไว้ ก็พยายาม จะดึงจะตัด ยิ่งตัดยิ่งดิ้น ยิ่งรัด
ต้องรู้ตรงอิสระอย่างบริสุทธิ์ ที่อาการกาย อาการใจเท่านั้น ถ้ารู้ตรง องค์ประกอบของตัวรู้ที่บริสุทธิ์คือ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง จะมีกำลังขึ้นมาตามความบริสุทธิ์ของรู้
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ ในขณะที่ตามรู้กายในกาย มีธรรมชาติที่มีความเกิดขึ้นก็รู้ วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ ให้พิจารณารู้ธรรมชาติในกายที่มันดับอยู่
การปรากฏและการหายไปของตัวสภาวะต่างๆในขณะนั้นเป้นเรื่องธรรมชาติของมันไม่ใช่เราสะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ ให้ตามพิจารณาเห็นการเกิดและการดับของสภาวะนั้นๆตามธรรมชาติของมัน
ความละเอียดของตัณหา ที่เราไม่สามารถรู้ได้ด้วยความตั้งใจรู้ของเรามีมาก และเราจะไปทำหน้าที่ไปละไปตัดมันไม่ได้ ที่จะละได้ก็ต่อเมื่อมันจะก่อขึ้นมาเป็นอกุศล เมื่อใดที่มันจะก่อขึ้นมาเป็นอกุศลแล้วเรารู้ทัน อันนั้นเราละได้ แต่ถ้ายังไม่ทันก่อเป็นอกุศลเลย มันเป็นกำลังของตัณหา ที่กระชากลากเราไป เราก็จะเดินตามมันไป เหมือนมันเป็นมิตร
เรามีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ในโลกใบนี้ที่เราเกิดมา เราไม่มีเพื่อนอยู่จริง เพื่อนที่แท้จริงของเราคือตัณหา
ถ้าเราเข้าใจเรื่องของจิตผู้รู้ เราเข้าใจเรื่องของรู้เฉพาะหน้า เรื่องกายในกาย แล้วให้จิตผู้รู้ทำหน้าที่รู้กายในกาย ลมกระทบออก ลมกระทบเข้า ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือกายในกาย เพียงแต่ว่าลมเป็นกายในกาย รู้กายในกายก็จริง แต่ไม่รู้นิ่งอยู่กับกายในกาย ท่านจึงสอนในรู้ลมกระทบออก ลมกระทบเข้า เพราะลมกระทบเป็นกายในกายที่นิ่งเมื่อตัวรู้ รู้ตรงต่อกายในกายที่นิ่ง จึงทำให้ความตั้งมั่นบริสุทธิ์ ความตั้งมั่นที่โตขึ้นมา จะทำให้เกิดเครื่องเห็น เครื่องรู้ เมื่อเกิดเครื่องเห็นเครื่องรู้ จะทำให้ไปแตะกระแสเบื้องบน
ขณะจิตที่เกิดขณะหนึ่ง ที่สำเร็จเป็นองค์ของความคิดในหนึ่งความคิด หนึ่งกำเนิด
1 ความคิดที่เกิดขึ้น 1 ครั้งไม่ธรรมดา ถ้า 1 ความคิดที่เกิด 1 ครั้งประกอบไปด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ความคิดดวงต่อไปจะเป็นผลมาจากความคิดดวงที่ดับไปแล้ว
ความคิดในดวงหนึ่งที่เป็นปัจจุบันนี้ เป็นผลของความคิดของดวงก่อน และจะเป็นเหตุของความคิดดวงถัดไป
ความคิดดวงที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นชาตินี้ ความคิดที่เกิดดับไปแล้วเป็นชาติที่แล้ว ความคิดที่จะเกิดเป็นภพชาติต่อไป
เช่น ความสมมติ คาดหวัง มั่นหมาย ความเชื่อ การเรียนรู้ ความหมกมุ่นทางอารมณ์ จริต อุปนิสัย สันดาน ล้วนมาจากจากสะสมของความคิดดวงก่อนๆ ถ้าความคิดดวงก่อนๆ ไม่เคยมีความโกรธเกิดและดับมาเลย ความคิดดวงปัจจุบันจะโกรธไม่เป็น
ศีล สมาธิ ปัญญา มาจัดการดวงความคิดอันเป็นปัจจุบันขณะ
เวลาเราภาวนา เราปฏิบัติ ตรงเข้าไป ตัวรู้ที่ตรงต่อกายในกาย ถ้าตัวรู้ตรงแน่วแน่ต่อกายในกายเป็นความตั้งมั่นอันบริสุทธิ์ขึ้นมา มันจะดีดเส้นใยของตัณหาที่ห้อมล้อมทั้งหมด เพราะตัวรู้ไม่มีอะไรเข้าไปอาศัยได้ ถ้ามีอะไรเข้าไปอาศัยเมื่อใด เมื่อนั้นรู้ไม่ได้ ไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิ เข้าไปอาศัยในตัวรู้ได้ และสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่เกิดมาจากเหตุ จากปัจจัย เพราะฉะนั้นตัวรู้ตรงต่อสิ่งซึ่งถูกรู้อันบริสุทธิ์
สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรา
ตัวรู้ก็ไม่ใช่เรา
การรู้นั้นก็ไม่ใช่เรา
ตัวรู้ที่บริสุทธิ์นี้ พอตัวรู้ทำหน้าที่รู้ตรง 1 ครั้ง ก่อความตั้งมั่นขึ้นมาทันที ตัวรู้กับความตั้งมั่นก็โตขึ้นมาด้วยกัน มีกำลังขึ้นมาด้วยกัน จนกระทั่งสามารถที่จะเกิดเป็นเครื่องเห็น เป็นเครื่องรู้ ต่อสภาวะทั้งหมดทั้งภายใน และภายนอกตามความเป็นจริง กิจของเราคือรู้ตรงต่อกายในกายต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตัวรู้ที่อยู่กับความตั้งมั่นจะทำหน้าที่เจาะผนังที่ถูกหุ้มห่อด้วยอำนาจของอวิชชาออกไป ดวงความคิดที่เกิดและดับไป เกิดที่จิตเดิม จิตเดิมไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นี้คือ จิตคือพุทธะ
ที่เราภาวนา เพื่อชำแรก เจาะ ทะลุทะลวง สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ แต่จิตเดิมแท้มันเคลื่อนไปกับความคิด ความคิดมันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อยู่กับจิต อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็ประกอบเป็นเรื่องราวขึ้นมา ความคิดของเราแต่ละขณะรวมทุกอย่างอยู่ในนั้น ไม่เว้นแต่เรื่องของกรรม นี้เป็นที่มาที่พระพุทธเจ้าให้รู้กายในกาย
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)ธรรมดีรุ่งโรจน์สัญจร ครั้งที่ 21 คอร์สอานาปานสติ ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
ความละเอียดของตัณหา ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องตัด ถ้าเมื่อใดที่เรามุ่งเข้าไปเพื่อจะตัดมันจะไม่หมด
ตาข่าย คือตัณหาอันละเอียด เหมือนกับใยแมงมุม แมงมุมที่ถักใยไว้ แล้วตัวตกลงไปในใยที่ตนถักไว้ ก็พยายาม จะดึงจะตัด ยิ่งตัดยิ่งดิ้น ยิ่งรัด
ต้องรู้ตรงอิสระอย่างบริสุทธิ์ ที่อาการกาย อาการใจเท่านั้น ถ้ารู้ตรง องค์ประกอบของตัวรู้ที่บริสุทธิ์คือ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง จะมีกำลังขึ้นมาตามความบริสุทธิ์ของรู้
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ ในขณะที่ตามรู้กายในกาย มีธรรมชาติที่มีความเกิดขึ้นก็รู้ วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ ให้พิจารณารู้ธรรมชาติในกายที่มันดับอยู่
การปรากฏและการหายไปของตัวสภาวะต่างๆในขณะนั้นเป้นเรื่องธรรมชาติของมันไม่ใช่เราสะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ ให้ตามพิจารณาเห็นการเกิดและการดับของสภาวะนั้นๆตามธรรมชาติของมัน
ความละเอียดของตัณหา ที่เราไม่สามารถรู้ได้ด้วยความตั้งใจรู้ของเรามีมาก และเราจะไปทำหน้าที่ไปละไปตัดมันไม่ได้ ที่จะละได้ก็ต่อเมื่อมันจะก่อขึ้นมาเป็นอกุศล เมื่อใดที่มันจะก่อขึ้นมาเป็นอกุศลแล้วเรารู้ทัน อันนั้นเราละได้ แต่ถ้ายังไม่ทันก่อเป็นอกุศลเลย มันเป็นกำลังของตัณหา ที่กระชากลากเราไป เราก็จะเดินตามมันไป เหมือนมันเป็นมิตร
เรามีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ในโลกใบนี้ที่เราเกิดมา เราไม่มีเพื่อนอยู่จริง เพื่อนที่แท้จริงของเราคือตัณหา
ถ้าเราเข้าใจเรื่องของจิตผู้รู้ เราเข้าใจเรื่องของรู้เฉพาะหน้า เรื่องกายในกาย แล้วให้จิตผู้รู้ทำหน้าที่รู้กายในกาย ลมกระทบออก ลมกระทบเข้า ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือกายในกาย เพียงแต่ว่าลมเป็นกายในกาย รู้กายในกายก็จริง แต่ไม่รู้นิ่งอยู่กับกายในกาย ท่านจึงสอนในรู้ลมกระทบออก ลมกระทบเข้า เพราะลมกระทบเป็นกายในกายที่นิ่งเมื่อตัวรู้ รู้ตรงต่อกายในกายที่นิ่ง จึงทำให้ความตั้งมั่นบริสุทธิ์ ความตั้งมั่นที่โตขึ้นมา จะทำให้เกิดเครื่องเห็น เครื่องรู้ เมื่อเกิดเครื่องเห็นเครื่องรู้ จะทำให้ไปแตะกระแสเบื้องบน
ขณะจิตที่เกิดขณะหนึ่ง ที่สำเร็จเป็นองค์ของความคิดในหนึ่งความคิด หนึ่งกำเนิด
1 ความคิดที่เกิดขึ้น 1 ครั้งไม่ธรรมดา ถ้า 1 ความคิดที่เกิด 1 ครั้งประกอบไปด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ความคิดดวงต่อไปจะเป็นผลมาจากความคิดดวงที่ดับไปแล้ว
ความคิดในดวงหนึ่งที่เป็นปัจจุบันนี้ เป็นผลของความคิดของดวงก่อน และจะเป็นเหตุของความคิดดวงถัดไป
ความคิดดวงที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นชาตินี้ ความคิดที่เกิดดับไปแล้วเป็นชาติที่แล้ว ความคิดที่จะเกิดเป็นภพชาติต่อไป
เช่น ความสมมติ คาดหวัง มั่นหมาย ความเชื่อ การเรียนรู้ ความหมกมุ่นทางอารมณ์ จริต อุปนิสัย สันดาน ล้วนมาจากจากสะสมของความคิดดวงก่อนๆ ถ้าความคิดดวงก่อนๆ ไม่เคยมีความโกรธเกิดและดับมาเลย ความคิดดวงปัจจุบันจะโกรธไม่เป็น
ศีล สมาธิ ปัญญา มาจัดการดวงความคิดอันเป็นปัจจุบันขณะ
เวลาเราภาวนา เราปฏิบัติ ตรงเข้าไป ตัวรู้ที่ตรงต่อกายในกาย ถ้าตัวรู้ตรงแน่วแน่ต่อกายในกายเป็นความตั้งมั่นอันบริสุทธิ์ขึ้นมา มันจะดีดเส้นใยของตัณหาที่ห้อมล้อมทั้งหมด เพราะตัวรู้ไม่มีอะไรเข้าไปอาศัยได้ ถ้ามีอะไรเข้าไปอาศัยเมื่อใด เมื่อนั้นรู้ไม่ได้ ไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิ เข้าไปอาศัยในตัวรู้ได้ และสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่เกิดมาจากเหตุ จากปัจจัย เพราะฉะนั้นตัวรู้ตรงต่อสิ่งซึ่งถูกรู้อันบริสุทธิ์
สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรา
ตัวรู้ก็ไม่ใช่เรา
การรู้นั้นก็ไม่ใช่เรา
ตัวรู้ที่บริสุทธิ์นี้ พอตัวรู้ทำหน้าที่รู้ตรง 1 ครั้ง ก่อความตั้งมั่นขึ้นมาทันที ตัวรู้กับความตั้งมั่นก็โตขึ้นมาด้วยกัน มีกำลังขึ้นมาด้วยกัน จนกระทั่งสามารถที่จะเกิดเป็นเครื่องเห็น เป็นเครื่องรู้ ต่อสภาวะทั้งหมดทั้งภายใน และภายนอกตามความเป็นจริง กิจของเราคือรู้ตรงต่อกายในกายต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตัวรู้ที่อยู่กับความตั้งมั่นจะทำหน้าที่เจาะผนังที่ถูกหุ้มห่อด้วยอำนาจของอวิชชาออกไป ดวงความคิดที่เกิดและดับไป เกิดที่จิตเดิม จิตเดิมไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นี้คือ จิตคือพุทธะ
ที่เราภาวนา เพื่อชำแรก เจาะ ทะลุทะลวง สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ แต่จิตเดิมแท้มันเคลื่อนไปกับความคิด ความคิดมันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อยู่กับจิต อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็ประกอบเป็นเรื่องราวขึ้นมา ความคิดของเราแต่ละขณะรวมทุกอย่างอยู่ในนั้น ไม่เว้นแต่เรื่องของกรรม นี้เป็นที่มาที่พระพุทธเจ้าให้รู้กายในกาย
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน