
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 26-28 พ.ค. 66 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.
ณ สถานปฏิบัติธรรมวชิรญาณ ๒๐๐ ปี วัดบวรนิเวศ
ชีวิตจิตใจของเรา ถ้าปล่อยไปตามปกติ มันก็จะชุ่มไปด้วยยาง คือราคะ โทสะ โมหะ และก็หนาไปด้วยขี้โคลนต่างๆที่เป็นอาสวะ เต็มไปด้วยอุปกิเลสทั้งหลาย เช่น อภิชฌา คือ ความละโมบโลภมาก ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ โทสะ ความร้ายกาจ อุปนาหะ ผูกโกรธ มีทุกคนไหมผูกโกรธ มักขะ ลบหลู่ความดีของผู้อื่น โดยเฉพาะใครถ้าเขาดีกับเรา แล้วเราไปไม่ดีกับเขา ลบหลู่สิ่งดีๆที่เขามีกับเรา อิสสา คือ ริษยา เห็นใครได้ดีแล้วทนไม่ได้ ต้องหาทางเล่นใต้น้ำ มัจฉริยะ ตระหนี่ถี่เหนียว มายา คือ เจ้าเล่ห์แสนกล สาเถยยะ โอ้อวด ขึ้โม้ขี้คุย สารัมภะ แข่งดี ต้องแข็งเป็นดีแบบว่า ใครเด่นใครดีเกินตัวเองไม่ได้ ต้องแข่ง ต้องโชว์ ให้ของตัวเองเหนือกว่าอยู่เสมอ แม้แต่ภาวนาก็มีสารัมภะเหมือนกันบางที มานะ ถือตัว ถือตน ถือว่าตัวดีกว่าเขา ถือว่าตัวเลวกว่าเขา ถือว่าตัวเสมอเขา ไม่ได้ทั้งนั้น มทะ มัวเมาลุ่มหลง หมกมุ่น ปมาทะ เลินเล่อเผลอเรอง่ายๆ ง่ายจนเสียหาย เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ถ้าเราปล่อยไว้มันมีแต่นำพาเราเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ถ้ามองในภาพรวม ชาตินี้เกิดมาเป็นมะเร็ง ง่อยเปลี้ยเสียขา มันก็ยังมาพามาอีก วนอยู่ 31 ภูมิ แม้แต่ในขณะจิตที่เรานั่งกันอยู่ เดี๋ยวมันก็เกิด มันซ่องเสพไปของมันอยู่เรื่อย วนหมุนอยู่นั่น เพราะการพิจารณาเรียนรู้เรื่องอาการ 32 ตรงๆตามความเป็นจริง มันจะเกิดอะไร การพิจารณานี้ พิจารณาให้เป็นกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 5 อย่าง พิจารณาให้เป็นกรรมฐาน พิจารณาให้เห็นว่าไม่สวย ไม่งาม ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่ มันเป็นสิ่งสกปรกปฏิกูล โสโครก ตามความเป็นจริงของมัน ครูบาอาจารย์ท่านเลยสอนว่าทำอย่างไร พอพิจารณาไปแล้ว มันไม่เกิดความสลดเลย ถ้าปล่อยไว้ถ้าเราไม่พิจารณามันก็หลง คิดว่าผมสวย ฟันสวย ผิวสวย หนังสวย อะไรก็สวยไปหมด งามไปหมด พอพิจารณาอย่างนั้น มันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้น ราคะ โทสะ โมหะ พร้อมด้วยองคาพยพที่กล่าวไปเบื้องต้นเยอะแยะมากมาย ที่ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญงอกงามยิ่งขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราไปพิจารณาให้ตรงกันข้าม ตรงตามความเป็นจริงเลย ว่ามันไม่ใช่ของสวยของงาม ไม่ใช่ของน่ารักน่าใคร่น่าพอใจ เป็นสิ่งสกปรกปฏิกูล พิจารณาจนประจักษ์จิต จะเกิดผลตรงกันข้ามเลย คือจะห้ามกันราคะ โทสะ โมหะ ที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็จะปราบปรามให้ลดน้อยถอยเบาบางลง พอตัวราคะ โทสะ โมหะ มันถอยเบาบางลงไป ที่กล่าวมาเมื่อครู่ ยั้วเยี้ยอยู่นั่น มันก็จะลดน้อยถอยเบาบางลงไปด้วย แต่ว่าเราพิจารณาอย่างไร ให้มันเป็นกรรมฐานที่ว่า ก็พิจารณาแล้วมันยังสวยอยู่ ยังงามอยู่ ยังไม่สลด ครูบาอาจารย์ท่านเลยสอนให้พิจารณาโดยส่วน 5 โดยสี สัณฐาน กลิ่น ที่เกิด ที่อยู่
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 5 อย่างนี้ ดูผมก่อน พิจารณาสีว่าผมสีอะไร ตรงๆตามความเป็นจริง ว่าผมของเราสีอะไร สีดำก็พิจารณาไปเป็นสีดำ สีดอกเลาก็ดอกเลา โคนขาวปลายดำก็ว่าไป แดงก็ว่าไป สีตามความเป็นจริงพิจารณาที่สี พอพิจารณาแล้วเห็นตามความเป็นจริง ว่าสีเป็นอย่างนั้น สัณฐาน คือรูปร่าง รูปร่างเป็นอย่างไรเส้นผม ลักษณะเป็นเส้นๆ งอกอยู่บนศีรษะ รากของมันมีลักษณะเหมือนกับตัวเหา ฝังอยู่ในหนังหัว ในลักษณะที่เกิดทะแยง ทะแยง อันนั้นเป็นสัณฐาน คือรูปร่างของมัน เส้นผมสองเส้นที่อยู่ใกล้กัน ไม่รู้จักกัน เกิดเดี่ยวเดียวดาย นั่นคือสัณฐาน ที่เกิดก็คือเกิดอยู่หนังศีรษะนั่นแหละ ที่อยู่เมื่อเกิดแล้ว เกิดตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น กลิ่นเป็นอย่างไร ที่เกิดเกิดตรงนั้น รากของมันที่ฝังอยู่ในหนังหัวเรา มันชุ่มแช่อยู่กับอะไร ก็น้ำเหลือง น้ำเลือด หมักหมมอยู่อย่างนั้น ถ้าปล่อยไว้อย่างนั้น ลองไปดมดู จริงๆแล้วกลิ่นเหม็น หมักหมม ชุ่มแช่อยู่ในน้ำเหลือง น้ำเลือด คายกลิ่นสกปรกออกมา ที่เราเรียกว่า ขี้หัว ถ้าพิจารณาตรงๆอย่างนี้ ก็จะเกิดความสลด พิจารณาอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านว่า ให้พิจารณาบ่อยๆ 5 ตัวนี้ พวกราคะ โทสะ โมหะ ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วความสกปรกโสโครกของมัน เราก็นึกภาพสิ มันไม่มีเปลี่ยนแปลง เป็นความจริงของมันอยู่อย่างนั้น
พระพุทธเจ้าว่า อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ มันต้องอยู่ด้วยการพิจารณาให้เห็นว่ามันไม่งามเป็นปกติเสียบ้าง เมื่อใดที่เราอยู่ด้วยความปกติ พิจารณาให้เห็นว่าไม่งาม มารจะรังควานไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือพุทธมนต์ของพระพุทธเจ้า
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 26-28 พ.ค. 66 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.
ณ สถานปฏิบัติธรรมวชิรญาณ ๒๐๐ ปี วัดบวรนิเวศ
ชีวิตจิตใจของเรา ถ้าปล่อยไปตามปกติ มันก็จะชุ่มไปด้วยยาง คือราคะ โทสะ โมหะ และก็หนาไปด้วยขี้โคลนต่างๆที่เป็นอาสวะ เต็มไปด้วยอุปกิเลสทั้งหลาย เช่น อภิชฌา คือ ความละโมบโลภมาก ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ โทสะ ความร้ายกาจ อุปนาหะ ผูกโกรธ มีทุกคนไหมผูกโกรธ มักขะ ลบหลู่ความดีของผู้อื่น โดยเฉพาะใครถ้าเขาดีกับเรา แล้วเราไปไม่ดีกับเขา ลบหลู่สิ่งดีๆที่เขามีกับเรา อิสสา คือ ริษยา เห็นใครได้ดีแล้วทนไม่ได้ ต้องหาทางเล่นใต้น้ำ มัจฉริยะ ตระหนี่ถี่เหนียว มายา คือ เจ้าเล่ห์แสนกล สาเถยยะ โอ้อวด ขึ้โม้ขี้คุย สารัมภะ แข่งดี ต้องแข็งเป็นดีแบบว่า ใครเด่นใครดีเกินตัวเองไม่ได้ ต้องแข่ง ต้องโชว์ ให้ของตัวเองเหนือกว่าอยู่เสมอ แม้แต่ภาวนาก็มีสารัมภะเหมือนกันบางที มานะ ถือตัว ถือตน ถือว่าตัวดีกว่าเขา ถือว่าตัวเลวกว่าเขา ถือว่าตัวเสมอเขา ไม่ได้ทั้งนั้น มทะ มัวเมาลุ่มหลง หมกมุ่น ปมาทะ เลินเล่อเผลอเรอง่ายๆ ง่ายจนเสียหาย เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ถ้าเราปล่อยไว้มันมีแต่นำพาเราเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ถ้ามองในภาพรวม ชาตินี้เกิดมาเป็นมะเร็ง ง่อยเปลี้ยเสียขา มันก็ยังมาพามาอีก วนอยู่ 31 ภูมิ แม้แต่ในขณะจิตที่เรานั่งกันอยู่ เดี๋ยวมันก็เกิด มันซ่องเสพไปของมันอยู่เรื่อย วนหมุนอยู่นั่น เพราะการพิจารณาเรียนรู้เรื่องอาการ 32 ตรงๆตามความเป็นจริง มันจะเกิดอะไร การพิจารณานี้ พิจารณาให้เป็นกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 5 อย่าง พิจารณาให้เป็นกรรมฐาน พิจารณาให้เห็นว่าไม่สวย ไม่งาม ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่ มันเป็นสิ่งสกปรกปฏิกูล โสโครก ตามความเป็นจริงของมัน ครูบาอาจารย์ท่านเลยสอนว่าทำอย่างไร พอพิจารณาไปแล้ว มันไม่เกิดความสลดเลย ถ้าปล่อยไว้ถ้าเราไม่พิจารณามันก็หลง คิดว่าผมสวย ฟันสวย ผิวสวย หนังสวย อะไรก็สวยไปหมด งามไปหมด พอพิจารณาอย่างนั้น มันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้น ราคะ โทสะ โมหะ พร้อมด้วยองคาพยพที่กล่าวไปเบื้องต้นเยอะแยะมากมาย ที่ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญงอกงามยิ่งขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราไปพิจารณาให้ตรงกันข้าม ตรงตามความเป็นจริงเลย ว่ามันไม่ใช่ของสวยของงาม ไม่ใช่ของน่ารักน่าใคร่น่าพอใจ เป็นสิ่งสกปรกปฏิกูล พิจารณาจนประจักษ์จิต จะเกิดผลตรงกันข้ามเลย คือจะห้ามกันราคะ โทสะ โมหะ ที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็จะปราบปรามให้ลดน้อยถอยเบาบางลง พอตัวราคะ โทสะ โมหะ มันถอยเบาบางลงไป ที่กล่าวมาเมื่อครู่ ยั้วเยี้ยอยู่นั่น มันก็จะลดน้อยถอยเบาบางลงไปด้วย แต่ว่าเราพิจารณาอย่างไร ให้มันเป็นกรรมฐานที่ว่า ก็พิจารณาแล้วมันยังสวยอยู่ ยังงามอยู่ ยังไม่สลด ครูบาอาจารย์ท่านเลยสอนให้พิจารณาโดยส่วน 5 โดยสี สัณฐาน กลิ่น ที่เกิด ที่อยู่
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 5 อย่างนี้ ดูผมก่อน พิจารณาสีว่าผมสีอะไร ตรงๆตามความเป็นจริง ว่าผมของเราสีอะไร สีดำก็พิจารณาไปเป็นสีดำ สีดอกเลาก็ดอกเลา โคนขาวปลายดำก็ว่าไป แดงก็ว่าไป สีตามความเป็นจริงพิจารณาที่สี พอพิจารณาแล้วเห็นตามความเป็นจริง ว่าสีเป็นอย่างนั้น สัณฐาน คือรูปร่าง รูปร่างเป็นอย่างไรเส้นผม ลักษณะเป็นเส้นๆ งอกอยู่บนศีรษะ รากของมันมีลักษณะเหมือนกับตัวเหา ฝังอยู่ในหนังหัว ในลักษณะที่เกิดทะแยง ทะแยง อันนั้นเป็นสัณฐาน คือรูปร่างของมัน เส้นผมสองเส้นที่อยู่ใกล้กัน ไม่รู้จักกัน เกิดเดี่ยวเดียวดาย นั่นคือสัณฐาน ที่เกิดก็คือเกิดอยู่หนังศีรษะนั่นแหละ ที่อยู่เมื่อเกิดแล้ว เกิดตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น กลิ่นเป็นอย่างไร ที่เกิดเกิดตรงนั้น รากของมันที่ฝังอยู่ในหนังหัวเรา มันชุ่มแช่อยู่กับอะไร ก็น้ำเหลือง น้ำเลือด หมักหมมอยู่อย่างนั้น ถ้าปล่อยไว้อย่างนั้น ลองไปดมดู จริงๆแล้วกลิ่นเหม็น หมักหมม ชุ่มแช่อยู่ในน้ำเหลือง น้ำเลือด คายกลิ่นสกปรกออกมา ที่เราเรียกว่า ขี้หัว ถ้าพิจารณาตรงๆอย่างนี้ ก็จะเกิดความสลด พิจารณาอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านว่า ให้พิจารณาบ่อยๆ 5 ตัวนี้ พวกราคะ โทสะ โมหะ ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วความสกปรกโสโครกของมัน เราก็นึกภาพสิ มันไม่มีเปลี่ยนแปลง เป็นความจริงของมันอยู่อย่างนั้น
พระพุทธเจ้าว่า อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ มันต้องอยู่ด้วยการพิจารณาให้เห็นว่ามันไม่งามเป็นปกติเสียบ้าง เมื่อใดที่เราอยู่ด้วยความปกติ พิจารณาให้เห็นว่าไม่งาม มารจะรังควานไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือพุทธมนต์ของพระพุทธเจ้า
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน