By มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
สาระธรรม โดย มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
ข้อธรรม คำกลอน ศีลธรรมกลับมาเถิด
อัสมินามานะ มีความหมายเหมือนคำว่า อหังการ ซึ่งเป็นประธานของความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งทางดีหรือชั่ว หรือเป็นศูนย์กลางของการกระทำ ทำทุกอย่างตามที่ต้องการ และมีการบัญญัติภายหลังว่าดีหรือชั่ว ดังนั้น ความดีหรือความชั่วมีความหมายเท่ากัน สำหรับ ตัวกู ของกู การละเสียซึ่งอัสมิมานะ โดยสิ้นเชิง จำต้องละทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว การละเสียแต่ฝ่ายชั่ว และ ยึกถือไว้แต่ฝ่ายดี ตามลัทธิอื่นแต่ในสังคมปัจจุบันอาจถือว่าการละตัวตนแล้ว แต่ทางพุทธศาสนายังไม่ถือว่าเป็นการละความเห็นแก่ตัว เพียงแต่ละตัวที่น่าเกลียดและยึดตัวที่น่ารักไว้ ต่อเมื่อละได้หมด ไม่ยึดถืออะไร ถ้าเข้าใจหลักนี้จะเข้าใจพุทธศาสนาได้โดยง่าย
คนจำนวนหนึ่งไม่ชอบธรรมะ เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งขัดขวางความสุข หรือ ไม่เกี่ยวกับตน คือไม่เห็นประโยชน์ของธรรมะ
การละตัวตนโดยสิ้นเชิง ต้องละทั้งตัวตนที่ดี และ ที่ไม่ดี ความรู้สึกว่าข้าพเจ้ามีอยู่ ไม่ใช่ความรู้สึกดีหรือร้ายในตัวเอง แต่ไม่ว่าจะมีตัวตนที่ดีหรือไม่ดี ก็นำมาซึ่งความทุกข์
เรื่องสวรรค์ นรก พระผู้เป็นเจ้า ล้วนแต่ทำให้ไกลออกจากตัวแท้ของพุทธศาสนา เรื่องที่ควรสนใจ คือ การละตัวกูของกู
อหังการ มมังการ อัตตา อัตตนียา และคำในภาษาอื่น ๆ หมายถึง ตัวกู และ ของกู ซึ่งแสดงถึงความเห็นแก่ตัว มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความรู้สึกของจิตที่ถูกปรุงขึ้นมา ในทางพุทธศาสนาไม่เรียกความรู้สึกนี้ว่าจิต แต่เรียกว่า เจตสิก เมื่อจิตถูกเจตสิกใดครอบงำ ก็เปลี่ยนไปตามเจตสิกนั้น ๆ ตัวกูของกูจึงเป็นจิตที่ครอบงำด้วย อหังการ มมังการ คือ ความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวและของของตัว ตัวกูของกู เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้ ตัวกูของกู มาจากอุปาทาน คือ ความยึดมั่นเบญจขันธ์เป็นตัวกู และ สิ่งที่มีเกี่ยวข้องว่าเป็นของกู
การเตรียมกำลังใจ กำลังความคิด และการกระทำ เพื่อเข้าถึงตัวแท้ของพุทธศาสนา
พุทธศาสนามุ่งให้ถึงภาวะที่ไม่มีทุกข์ ซึ่งเกิดได้เมื่อไม่มีการยึดมั่นถือมั่น จิตจึงเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงหรือเรียกว่าหลุดพ้นจากทุกสิ่ง ไม่ว่าบวกหรือลบ
พระธรรมนี่ก็เหมือนกันเป็นสิ่งสูงสุด ถ้าเราจะให้ธรรม พระธรรมช่วย เราต้องยอมให้พระธรรมเป็นผู้เผด็จการ ความถูกต้องทุกชนิดแหละคือธรรมะ ยอมทุกอย่าง ทุกประการ ตามความถูกต้อง ยอมให้ความถูกต้องเผด็จการ มันก็จะมีแต่ความถูกต้อง บ้านเมืองก็จะสงบสุข พอได้ยินว่าเผด็จการ ต้องนึกให้ได้ว่าเผด็จการนี้เป็นเครื่องมือที่สามารถทำให้สำเร็จประโยชน์ได้จริงๆ แล้วแต่จะเอาไปใช้ผิดหรือเอาไปใช้ถูก
ถ้ามีพุทธธรรมคือความรู้อันถูกต้องของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วก็จะทำงานสนุก และก็เป็นสุขเมื่อทำการงาน และก็รักเพื่อนมนุษย์ มีเงินเหลือใช้เพราะทำงานสนุก มันก็มีเงินเหลือใช้ และก็รักเพื่อนมนุษย์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มันก็เพิ่มความพอใจอย่างที่สองที่เกี่ยวกับประโยชน์ของผู้อื่น เรามีความเมตตากรุณา เป็นธรรมะเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง ตัวเองมีความสุขช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้มีความสุขเป็นธรรมะสมบูรณ์ นี่เรียกว่าพุทธธรรมนำสุขมาทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
เหมือนกับการเกิดอีกครั้งหนึ่ง เกิดใหม่เกิดโดยจิตใจ เกิดในอริยชาติ ของพระอริยเจ้า มันลืมตาแล้ว มันจะเห็นในสิ่งทั้งปวง ตามที่เป็นจริงแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมีการเดินทางอย่างคนตาบอด ตลอดเวลาที่มันหลับตามันก็เหมือนกับเดินทางอย่างตาบอด คนตาบอดเดินทางน่าสังเวชสงสาร เดี๋ยวนี้มันเปิดตาแล้ว มันก็มีการเดินทางอย่างคนที่ตาดีเดินไปนี่คือ “ธรรมจักษุ”
ไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะ ไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะ มีอะไรมากระทบใจ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่าผัสสะ ๕ ทางนี้ ผัสสะแล้วไม่ทำผิด ไม่โง่ไม่หลงไม่ทำผิด นั่นนะคือให้ความถูกต้อง ๘ ประการมันเกิดขึ้น ทางดับทุกข์มันอยู่ที่คำๆเดียวว่าอย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ
มนุษย์เป็นทาสของความผิดหรือ มิจฉัตตะอยู่ตลอดเวลา ที่ยังไม่ลืมหูลืมตาในทางของพระธรรม เดี๋ยวนี้จะลืมหูลืมตาออกมาเสียจากความผิดเหล่านั้น ก็ต้องมีสัมมัตตะ ภาวะแห่งความถูกต้องด้วยองค์แปดประการ
รู้ความถูกต้อง ความพอดี ที่ไม่เกินไป หรือไม่หย่อนไป ก็จะทำให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่ ในความถูกต้อง
ท่านทั้งหลายจงกลับไปบ้าน จงจับเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับทำการงานขึ้นให้เหงื่อท่วมตัว และนั่นแหละ คือน้ำมนต์ อาบน้ำมนต์ กินน้ำมนต์ กันที่นั่นเถิด น้ำมนต์นี้ศักดิ์สิทธิ์ น้ำมนต์นี้ทำให้พ้นจากความยากจนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่เดี๋ยวนี้ น้ำมนต์นี้ป้องกันการลงนรก น้ำมนต์นี้จะส่งขึ้นสวรรค์
นิพพาน เป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐสุดสำหรับมนุษย์
ถ้ากินเก็บแต่พอประมาณก็จะมีส่วนเหลือสำหรับช่วยเพื่อนมนุษย์ แล้วเราก็จะชวนกันเป็นสุขอยู่ในโลกนี้
พุทธบริษัททำงานสนุกเพราะเห็นว่าการงานนั้นคือการปฎิบัติธรรม ธรรมะนั้นเป็นสิ่งสูงสุด ธรรมะนั้นย่อมนำสุขมาให้ ธรรมะนั้นช่วยให้เรารอดได้เป็น 2 ชั้นคือรอดชีวิตอยู่ได้และก็รอดจากอุปสรรคหรือความทุกข์ทั้งปวงจนไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย
พระคุณของแม่มี ๓ ก้าวย่าง คือ ๑ โดยทางปริยัติ ๒ โดยทางปฏิบัติ และ ๓ โดยทาง ปฏิเวธ
แม่ทั้งหลายรวมกันก็เป็นมารดาคนเดียวกันเป็นแม่ของโลกเลยมารดาของ ถ้าเรามีจิตใจกว้าง ลึก กว้างขวางพอ เราคิดว่าจะสร้างโลกกันดีกว่า แม่นี้สร้างโลก ถ้าแม่ทำให้ลูกที่เกิดมานั้นดีแล้วโลกนี้ก็ดี ถ้าแม่จะเกิดลูกมาไม่ดี โลกทั้งโลกก็ไม่ดี แม่สร้างโลก พ่อแม่นี้มันสร้างโลก ไม่ใช่สร้างแต่ลูก แต่มันสร้างทางลูกนั่นแหละ พ่อแม่ทำให้ลูกเป็นอย่างไรแล้วโลกทั้งโลกก็จะเป็นอย่างนั้น
วันพระธรรมก็เป็น วันชนะ ชนะข้าศึก อะไรเป็นข้าศึกที่สุด ก็คือ กิเลส หรือความยึดมั่นถือมั่น ด้วยความเขลา ความหลงว่าเรา ว่าของเรานั่นเอง ชนะสิ่งนี้ได้เป็นการชนะทั้งหมด และชนะประเสริฐที่สุดด้วย
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ 36 : พุทธบริษัทต้องทำงานให้สนุก เราควรจะมีศิลปะของการทำงานให้สนุก แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อย ท่านลองคิดดูว่าทำไมกีฬา มันก็เหนื่อยเหมือนกันแต่เป็นความสนุก ทำไมกิจกรรมทางเพศจึงสนุก ไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะว่ามันเป็นเรื่องของกิเลสที่ออกมารับหน้า รับเหยื่อ พอใจ หลงใหลในการที่มันได้เหยื่อ มันจึงไม่รู้สึกว่าทนทุกข์ทรมาน เราจะเอาอะไรมาทดแทนสิ่งเหล่านั้น เพื่อทำงานให้สนุกโดยไม่ต้องใช้กิเลสเป็นต้นนั้นเลย ข้อนี้เห็นอยู่อย่างเดียวก็คือว่า จะต้องมีอุดมคติ ต้องได้รับการศึกษาเล่าเรียนมาในรูปแบบที่ทำให้เกิดความรู้สึกคิดนึก หรือความเชื่อ หรือที่จะเรียกว่าเหตุผลทางปรัชญาก็ได้ ว่าการงานนั้นมีค่าสูงสุดอย่างไร เป็นตัวชีวิตของมนุษย์ซะเองอย่างไร ในบรรดาสิ่งที่มีเกียรติของมนุษย์แล้วก็ไม่มีอะไรมากเท่าการงาน ถ้าคนเหล่านั้นมีอุดมคติอย่างนี้ เขาก็จะทำงานสนุก
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ 34 : โดยทั่วไปคนเคารพเทพเจ้าหรือสิ่งสูงสุดที่ไม่รู้จักว่าเป็นสิ่งที่ควรเคารพ เคารพด้วยกายกราบไหว้อ่อนน้อม เคารพด้วยวาจาคือพร่ำสรรเสริญพระคุณของสิ่งเหล่านั้น เคารพด้วยใจคือรู้สึกเคารพหวังพึ่งพาอาศัย เคารพด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจในสิ่งที่ตัวรู้สึกว่าเป็นสิ่งสูงสุด เดี๋ยวนี้อาตมามาบอกท่านทั้งหลายว่าเครื่องมือสำหรับทำมาหากินนั่นแหละ วัตถุที่ควรเคารพ
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ 33 : การทำงาน คนเขารู้สึกกันว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำเพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพราะว่าคนมันรู้จักแต่ปากแต่ท้อง มันก็รู้สึกไปว่าการทำงานคือการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ทำมันจะอดตาย มันจะยากจน เรามาพูดกันอีกลักษณะหนึ่ง อีกนัยหนึ่ง หากการทำงานนั้นคือการแสดงความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง มนุษย์มีหน้าที่ของมนุษย์ ความเป็นมนุษย์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ การทำงานนั้นเพื่อให้ความเป็นมนุษย์มีอยู่ได้และเลื่อนชั้นเป็นลำดับ เป็นลำดับสูงขึ้นไปจนกว่าจะถึงระดับสูงสุดและยังมีอีกความหมายหนึ่งคือว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อื่นๆ ด้วยกัน
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ 32 : ที่ว่าธรรมชาติสร้างมาดีแล้วนี่หมายความว่าสร้างมาครบให้มีร่างกายที่เหมาะสมที่สุด ส่วนจิตใจเขาได้ใส่ธรรมชาติแห่งโพธิ คือธรรมชาติแห่งการรู้อะไรต่างๆได้มาให้ ใจสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ แต่แล้วคนก็ไม่ได้ใช้จิตใจในลักษณะเช่นนั้น ไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ ไม่ได้รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ หรือถ้าไปรู้ก็รู้ผิดๆ สิ่งที่ควรจะรู้ให้ถูกก็กลายเป็นรู้ผิดๆ นี่เรียกว่าไม่สมกับที่ว่าเขาสร้างจิตใจมา ผู้ที่มีความรู้ เขารู้และเขาถือกันเป็นหลักว่าธรรมชาติแห่งโพธิมีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน จิตนั้นจึงสามารถรู้อะไรได้ ยิ่งถ้าไปอบรม บ่ม ที่เรียกว่าบ่มจิตใจคือเจริญภาวนาด้วยแล้วก็ยิ่งรู้อะไรมาก รู้จนถึงที่สุดรู้จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เขาจึงกล้ากล่าวกันว่าธรรมชาติแห่งพุทธะมีอยู่แล้วในจิตใจของสิ่งที่มีชีวิต
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ 31 : ถ้ามนุษย์เรารู้จักทำใจเสียสักหน่อยหนึ่งเท่านั้นแหละ สักอย่างหนึ่งเท่านั้นแหละ รู้จักทำใจดีเสียสักอย่างหนึ่งเท่านั้น การงานก็จะกลายเป็นความสุขเช่นเดียวกับว่าความสุขของผีเสื้อ ใจความมันอยู่ที่ว่าการงานคือการปฏิบัติธรรม เมื่อรู้สึกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมก็พอใจ เมื่อพอใจก็เป็นสุข ดังนั้นจึงมีความสุขเมื่อทำการงานได้เหมือนกับผีเสื้อ เดี๋ยวนี้พวกเราจะสามารถทำความฉลาดกันถึงขนาดนั้นไหม จะทำจิตใจให้มองเห็นลึกซึ้งถึงขนาดนั้นไหม ถ้าเราทำได้จะดีไหม ถ้าเราทำได้ก็จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง
สักกายทิฏฐิ ก็โมหะ วิจิกิจฉา ก็โมหะ สีลัพพตปรามาส ก็โมหะ ละได้ ๓ อย่างนี้เป็นพระโสดาบัน มองดูให้ดีว่ายังไม่เคยพูดถึงกามราคะและปฏิฆะ แต่พูดถึงกิเลสประเภทโมหะทั้งนั้นเลย หมายความว่าต้องตั้งต้นด้วยการละกิเลสประเภทโมหะกันก่อน เพื่อรักษาโรคบ้าในขั้นต้นหรือในขั้นแรกให้หายไปเสียก่อนแล้วจึงจะรักษาในขั้นต่อไปที่สูงขึ้นไป
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ 30 : มนุษย์เราเห็นความเพลิดเพลินเป็นความสุขเพราะเขาพอใจในรสอร่อยของความเพลิดเพลิน มันเป็นความเพลิดเพลินของกิเลส มันก็เป็นความสุขของกิเลส ไม่ใช่ความสุขของมนุษย์ที่ถูกต้อง ขอให้เราดูกันให้ดีที่ว่าไอ้ความเพลิดเพลินนี้มันไม่ใช่ความสุข ความเพลิดเพลินคือความรู้สึกที่กระตุ้นอารมณ์ของกิเลส ความเพลิดเพลินนี้มันเป็นความลุกโพลงๆ ความโพลงๆ ส่วนความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นความสงบ เป็นความหยุด เป็นความสงบเย็น เรียกว่ามันต่างอย่างตรงกันข้ามก็ได้ ความเพลิดเพลินมันโพลงๆ แล้วปั่นป่วน ไอ้ความสุขแท้จริงนั้นมันหยุดนิ่งสงบเย็นแต่ก็มีทางที่จะลวงให้คนเข้าใจผิด คือเข้าใจตามอวิชชาความโง่เขลา
คนอยู่ในโลกก็มิได้เห็นโลก คือมิได้เห็นไอ้ความจริงหรือความลับโดยแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่าโลก มีตาก็เห็นนั่นเห็นนี่เรื่อยๆ ไป แต่มันไม่เห็นจริง มันไม่รู้จักโดยแท้จริง มันจึงได้หลงในสิ่งเหล่านั้น ถ้าเห็นจริงๆ มันก็ไม่หลงในอะไร เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาท อย่าได้อวดดีว่าเราเห็น...ยังมีอยู่อีกชั้นหนึ่งคือชั้นที่มันลึกซึ้ง บุคคลที่รู้จักโลกตามที่เป็นจริง และจัดการถูกต้องหมดจนไม่มีความทุกข์ สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นมันมีเคล็ดลับมาก แต่มันก็รวมอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
การทำบุญอายุนี้ มีการทำบุญต่ออายุกันเป็นส่วนใหญ่ หรือเกิดเป็นธรรมเนียมเป็นประเพณีเพื่อต่ออายุ แต่สำหรับในวันนี้อาตมามีความมุ่งหมายเป็นอย่างอื่น คือแทนที่จะทำบุญต่ออายุ ก็อยากจะทำบุญล้อเลียนอายุ หรือทำบุญล้ออายุ เรียกสั้น ๆ ว่าอย่างนี้ มันจึงเกิดเป็นมีการทำบุญอายุเป็น ๒ อย่าง คือทำบุญต่ออายุนั้นอย่างหนึ่ง ทำบุญล้ออายุนี้อีกอย่างหนึ่ง
การให้ทุกชนิดที่เป็นการให้อะไรก็ได้ เป็นการบริจาคออกไป มีสัก ๖ ชนิด ชนิดที่หนึ่งก็คือ การให้วัตถุสิ่งของตามธรรมดาที่ให้กันอยู่ทั่วๆ ไปเรียกว่าทาน การให้ ชนิดที่สอง ให้อภัย ให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัย ให้การอดโทษ เรียกว่าให้ เรียกว่าทานเหมือนกัน เรียกว่าอภัยทาน นี้ ชนิดที่สาม ให้แสงสว่างทางจิตทางวิญญาณ คือ ให้ธรรมะ ที่เรียกกันว่า ธรรมทาน นี่อย่างที่สี่ ให้สิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตัว คือ สละ สิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตน คำๆ นี้มักจะใช้คำว่า จาคะ แทนคำว่าทาน แล้วก็ห้า ให้ตัวตนไปเลยหมายความว่าไม่สงวนเอาไว้ที่เป็นตัวกู ของกู ให้ออกไป อันที่หกนี่อยากจะพูดให้เหลือๆ ไว้คือให้หมด...
ศรัทธาที่จะมีชีวิตอยู่ มีความเชื่อในการที่จะมีชีวิตอยู่ นั่นหมายถึงความแน่ใจในการที่จะอยู่หรือจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคนเราไม่มีความเชื่อในตัวเอง ในการกระทำของตัวเอง มันก็อยู่ไม่ได้ ศรัทธานี่ก็มีความสำคัญเป็นพื้นฐาน ถ้าปราศจากสิ่งนี้ คนเราก็กลัว ก็ระแวง ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล รำคาญอย่างมากเกินกว่าที่จำเป็น จึงถือว่าศรัทธานี่เป็นกำลังใจไปทุกสิ่งทุกอย่าง นับตั้งแต่จะทำการทำงาน อย่างบ้านเรือน ขึ้นไปจนถึงหน้าที่ที่สำคัญที่สูงสุด กระทั่งปฎิบัติธรรมในพุทธศาสนา ล้วนถือว่าศรัทธาเป็นเครื่องให้เกิดกำลังใจ
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๙ "หนทางมีแต่ไม่เดิน" : ชีวิตที่มีวิวัฒนาการชนิดนี้เรียกว่าเดินทางไปอย่างถูกต้อง จะมองเห็นชัดว่าวิวัฒนาการนี้เป็นสิ่งที่ควบคุมได้โดยมนุษย์ผู้มีสติปัญญา ควบคุมได้โดยธรรมะ ชีวิตทุกชีวิตต้องเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยกัน มีจุดหมายปลายทางอย่างเดียวกัน คือหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง เป็นมนุษย์สูงสุด หลุดพ้นออกไปจากปัญหา นี่เราจึงต้องเดินไปพร้อมๆ กัน ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาหรือมีข้อเท็จจริงอยู่ว่า หนทางนั้นมีอยู่ แต่เรามันไม่เดิน
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๘ "พวกเรายังใช้ชีวิตไม่สมค่าของศักดิ์ศรี" : เราเอาธรรมะมาประกอบกับชีวิตน้อยเกินไปบ้างไม่ถูกเรื่องไม่ตรงเรื่องของธรรมะบ้าง จึงได้ประโยชน์ไม่สมค่าของธรรมะตามที่ธรรมชาติจัดให้มากำหนดให้มา ธรรมชาติจัดให้มาคือจัดธรรมชาติจัดธรรมชาติให้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นต้นนี้ มันจัดมาให้สูงมาก กำหนดมาให้สูงมากเพื่อให้เป็นมนุษย์ที่มีค่าสมกับความหมายของคำว่ามนุษย์มีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ เหนืออันตราย เหนือทุกทุกอย่างอันไม่พึงปรารถนา
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๗ "ชีวิตที่มีความสดชื่นเยือกเย็น" : ชีวิตที่สดชื่นเยือกเย็นงดงาม เป็นจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนา เราชินอยู่กันแต่ด้วยชีวิตที่ร้อนมาตลอดเวลา ชินอยู่กับชีวิตชนิดนี้จนรู้สึกเอร็ดอร่อยในการเกลือกกลั้วอยู่ด้วยชีวิตชนิดนั้น ก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะมีอะไรอื่นอีกที่ดีกว่านั้น เขาเคยเปรียบความข้อนี้กันว่าเหมือนกับสัตว์เช่นหนอนเป็นต้น ที่เกิดอยู่ในของร้อน เช่นพริกเป็นต้น หนอนนั้นก็อยู่สบายแล้วก็เอร็ดอร่อยอยู่ด้วยการกินของร้อน มันไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์เดือดร้อนเพราะความเคยชิน
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๖ "การเติมธรรมะลงในชีวิต" : ชีวิต กายกับใจเป็นธรรมชาติ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ธรรมะก็เป็นธรรมชาติ ดังนั้น เราสามารถเติมธรรมะลงไปในชีวิตที่เป็นธรรมชาติเหมือนกันได้ หมายถึง หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ต้องทำให้ถูกต้องตามที่ชีวิตมันต้องการ
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๕ "ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้" : พัฒนาจึงมีความหมายแท้จริงว่าเจริญเท่าที่ควรจะมี ด้วยสิ่งที่ควรจะมีเพียงเพื่อสันติสุข นั่นจึงจะเรียกว่าเจริญ ถ้ามันเกินสันติสุขมันก็เป็นบ้า เดี๋ยวนี้เราส่วนมากเอาสิ่งที่ส่งเสริมกิเลสว่าเป็นความเจริญ เพราะเราเป็นคนมีกิเลส เราตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส พอใจในสิ่งซึ่งเป็นเหยื่อของกิเลส ถ้ามีเหยื่อของกิเลสมากเราก็เรียกว่าความเจริญ นั่นแหละระวังให้ดี มันจะดีเกินไป มันจะมากเกินไป มันจะเจริญเกินไป มันก็เลยดีสำหรับกิเลส ดีสำหรับอวิชชา ความโง่ ความหลง หลงจนเป็นบ้า
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๔ "ปีใหม่" : ปีใหม่ มีความหมายว่าเราจะต้องทำให้ดีกว่าปีเก่า ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ใหม่ ทีนี้คำว่าดีกว่า ดีกว่าปีเก่านั้น หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าจะต้องทำให้เกิดมีสันติสุขมากกว่า ทำให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่เย็นมากกว่า มากกว่าปีเก่า ถ้าความสงบสุขหรือสันติสุขในส่วนบุคคล หรือในครอบครัวของเขาไม่มีอะไรดีกว่าปีที่แล้วมาก็หมายความว่ามันไม่มีปีใหม่สำหรับเขา หรือชีวิตที่ร้อนอยู่ด้วยกิเลส ร้อนอยู่ด้วยการกระทำกรรมที่ผิดพลาด นี่ยังร้อนอยู่อย่างนั้นไม่มีความเย็นเกิดขึ้นมาในชีวิต ก็เรียกว่าไม่มีอะไรใหม่ เขาทนทรมานอยู่ด้วยความหมายของปีเก่า ความบีบคั้นของปีเก่า ขอให้ถือความหมายของคำว่าดีกว่ากันให้ถูกต้องว่ามันดีกว่าปีเก่าอย่างไร เรามีความสงบสุขมากขึ้น
เราเกิดมาเพื่อเป็น " มนุษย์ " ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำมาหากินพักๆ นึง แล้วก็ตายไป อย่างนั้นจะไปน่าชื่นใจอะไร ใครก็จะต้องเกิดมาทำมาหากิน ทนทุกข์ทรมานไปไม่เท่าไรก็ตาย ได้ชื่อเสียงบ้าง ไม่ได้บ้าง ได้อำนาจวาสนาบ้าง ไม่ได้บ้าง เสร็จแล้วมาแล้วเต้นๆ โดดๆ พักเดียวแล้วก็ตาย อย่างนี้ มันไม่น่าบูชา คือ มันไม่มีความถูกต้องอยู่อย่างสมบูรณ์ เกิดมาทำไม ตอบว่า เพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ก็คือความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ อยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ เหนืออะไร อะไรที่ไม่พึงปรารถนา ทุกอย่างทุกประการ นั่นก็เรียกว่า ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๓ "ธรรมะคือหน้าที่" : สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นในความหมายที่ตรงถูกต้องที่สุดนั้นแปลว่า หน้าที่ หน้าที่แบ่งเป็น 2 อย่าง คือ หน้าที่ตามทางแห่งศีลธรรมอย่างหนึ่ง และหน้าที่ตามทางแห่งปรมัตถธรรมนี้อีกอย่างหนึ่ง หน้าที่ตามทางแห่งศีลธรรมนี้คือ หน้าที่เพื่อให้อยู่รอด ให้มีชีวิตอยู่รอด มีชีวิตอย่างผาสุกในท่ามกลางสังคมที่ดี สำหรับมนุษย์ผู้รู้สึกคิดนึกอย่างมีตัวตน มีตัวกู มีของกู มีได้มีเสีย มีดีมีชั่ว มีบุญมีบาปอยู่ หน้าที่ก็อยู่เท่านี้ หน้าที่ประเภทที่ 2 ที่สูงขึ้นไป เรียกว่าหน้าที่ตามทางปรมัตถธรรมมันไม่ต้องการแต่เพียงอยู่รอด มันต้องการอยู่รอดและก็สูงขึ้นไปๆ สูงขึ้นไปจนถึงที่สุดที่จะสูงได้ เราจะทำให้ได้มีโอกาสทำหน้าที่สูงจนถึงการบรรลุนิพพาน ไม่มีสูงกว่านั้นแล้ว และเจริญในวิชาความรู้จนไม่มีตัวมีตน ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีชั่วไม่มีดี อยู่เหนือชั่วเหนือดี เหนือบุญเหนือบาปเหนือโดยประการทั้งปวง
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๒ "ยิ่งเจริญจะยิ่งวินาศถ้าขาดศีลธรรม" : ในความเจริญนั้นเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสตัณหา หรือเป็นขึ้นมาได้ด้วยกิเลสตัณหาทำให้เจริญนั้นเจริญนี่จนเฟ้อจนเพลิน แล้วก็ทำให้ไม่ต้องการศีลธรรม มันคือวินาศทำอะไรไปตามกิเลสตัณหาของตัวโดยไม่นึกถึงความถูกต้อง ผิดชอบชั่วดี ไม่นึกอะไรหมดเอาแต่ความเจริญของกูที่เป็นส่วนตัว เราหลงคำพูดคำนี้กันอย่างโง่เขลาหลงคำว่าทันสมัยๆ ซึ่งหมายความว่ามันเจริญ ทุกคนชอบด่าคนอื่นว่าไม่ทันสมัยแล้วตัวเองน่ะทันสมัย และความทันสมัยของตัวเองมันเป็นความเจริญอย่างโง่เขลา
การที่จะทำให้มาฆบูชาให้สำเร็จประโยชน์นั้น ต้องมีการตระเตรียมและเป็นการตระเตรียมในภายในใจเป็นพิเศษกว่าอย่างอื่น โดยส่วนใหญ่ก็มุ่งหมายถึงการเสียสละ เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว สำหรับโอวาทปาติโมกข์นั้น แบ่งออกได้เป็น ๓ หัวข้อว่า การไม่กระทำซึ่งบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตของตนให้ขาวผ่อง ถ้าท่านทั้งหลายจะฟังและสังเกตให้ดี ก็ย่อมจะเข้าใจได้ด้วยตนเอง ว่าโอวาท ๓ ข้อนี้มุ่งหมายอย่างไร สำหรับคนชั่วคนบาป ก็ทรงบัญญัติว่าอย่าทำบาป สำหรับคนดีก็ทรงบัญญัติว่า ทำดีให้เรื่อยไปจนกว่าจะเต็มเปี่ยม ส่วนคนที่สูงขึ้นไปก็ดี ก็คือคนบริสุทธิ์ ไม่ 'ติดอยู่' ในความชั่วหรือความดี จึงจะมีจิตใจบริสุทธิ์ จึงได้ทรงบัญญัติขึ้นอีกบทหนึ่งว่า การกระทำซึ่งจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ คือขาวผ่อง
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๑ "เกิดมาทำไม?" : เกิดมาทำไมนี้ล่ะเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์เรา การที่เราทำอะไรไม่ถูกต้องตามที่ควรจะทำนั้นก็เพราะเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม เราก็ทำอะไรเปะ ๆ ปะ ๆ เหมือนกับว่าเรากำลังหลับตาทำ เกิดมาแล้วจะต้องทำอะไร ตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า เราจะต้องทำชนิดที่เราจะไม่เป็นทุกข์ จะต้องมีความสุขเป็นที่พอใจสูงยิ่งขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ จนกระทั่งสูงสุดที่เรียกว่า พระนิพพาน
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้งที่ ๒๐ "ธรรมะช่วยแก้ปัญหาอันเกิดจากกิเลส" : พอได้อร่อยมันก็เกิดกิเลสที่เรียกว่า ‘ราคะ’ คือความยินดี ‘โลภะ’ คือความอยากจะได้ความเอร็ดอร่อยนั้นกิเลสพวกนี้ก็เกิดขึ้น แล้วมันก็สร้างนิสัยที่อยากจะเกิดราคะหรือโลภะนี้ได้ง่ายๆ ต่อไป เกิดความรู้สึกราคะ โลภะครั้งหนึ่ง มันก็สร้างนิสัยที่จะเกิดราคะโลภะอย่างรวดเร็วอย่างสะดวกดายยิ่งๆขึ้นไป นี่เราก็ได้กิเลสประเภทราคะหรือโลภะถ้าเราบูชาความเอร็ดอร่อย ทีนี้เมื่อไม่ได้ความเอร็ดอร่อยตามต้องการ มันก็เกิดกิเลสประเภทโทสะหรือโกธะคือมันโกรธมันดุร้ายขึ้นมาทีเดียว พอมันเกิดโทสะโกธะขึ้นมาแล้วมันก็เกิดนิสัยที่จะเป็นเช่นนั้นง่ายขึ้นเร็ว
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้ง ๑๙ "ธรรมะช่วยแก้ปัญหาอันเกิดจากธรรมชาติ" : ถ้ารู้ธรรมะ ถึงความจริงอันสูงสุดว่า ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมชาติ หรือธาตุตามธรรมชาติอันปรุงแต่งกันตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน เมื่อไม่มีอะไรเป็นตัวตน มันก็ไม่มีที่ตั้งของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ผู้ใด ไม่มีผู้ใดที่จะเป็นเจ้าของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะว่ามันไม่มีตัวตน
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้ง ๑๘ "ธรรมะช่วยแก้ปัญหาสังคม" : ชีวิตทั้งหลายในสากลจักรวาลนี้ มันอยู่ในกฏเกณฑ์อันเดียวกัน โดยส่วนใหญ่แล้วมันก็คล้ายกัน ที่เค้าพูดว่ารู้รักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อถือเอาหลักเกณฑ์ข้อนี้เป็นหลัก มันก็จะเป็นการง่ายในการที่จะกลมกลืนกันได้ การแก้ปัญหาสังคมด้วยการสมาทานศีลและวัตรที่ท่านมี การประพฤติปฏิบัติกันมาแต่กาลก่อน ก่อนๆ พระพุทธเจ้าเกิด มนุษย์ยังไม่ถึงขนาดพระพุทธเจ้า ท่านก็ค้นพบหลักธรรมะสำหรับจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าศีล ๕
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้ง ๑๗ "ธรรมะช่วยแก้ปัญหาการดำเนินชีวิต" : เราควรจะหาวิธีให้การทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนั้นมีความสุขสนุกสนานให้อยู่ในตัวเหมือนผีเสื้อ ที่ออกเที่ยวหาน้ำหวาน ไม่มีความทุกข์เลย เนี่ยจะทำได้อย่างไร จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร อาตมาเห็นว่ามีทางเดียวเท่านั้นแหละคือ มีธรรมมะอยู่ในจิตใจ สามารถดำรงจิตใจไว้ในลักษณะที่พอใจแหละเป็นสุข แม้ว่าร่างกายกำลังอาบเหงื่ออยู่ ธรรมมะช่วยได้ คือให้รู้จักทำจิตใจให้พอใจในการทำหน้าที่ ไม่ว่าจะมีหน้าที่อะไร ให้ถือว่าหน้าที่นั้นคือธรรมมะ เพราะมันเป็นความจริงอย่างนั้น หน้าที่ทำมาหากินก็คือธรรมมะ
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้ง ๑๖ "มีตัวตนหรือไม่มีตัวตน" : ความรู้สึกของคนทั้งโลกมันรู้สึกว่ามีตัวกูมีของกู ตามสัญชาตญาน ที่ยังเป็นความรู้ชั้นต่ำสุดของสัญชาตญานยังไม่มีปัญญาเจืออยู่เลย เราอย่ามาเถียงกันเลยว่ามีตัวตนหรือไม่มีตัวตน มันมีทั้งสองอย่าง ตัวตนมีสำหรับคนที่ไม่รู้ เป็นของจริงที่เป็นสมมติ ไม่ใช่ตัวตนเป็นของจริงสำหรับผู้รู้ เป็นของจริงชั้นปรมัติ เรายังโง่อยู่เป็นปุถุชนอยู่ก็ถือจริงสมมติไปก่อน แล้วมันก็กัดเอากัดเอาเจ็บปวด แล้วมันก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง ค่อยๆลืมหูลืมตา มารู้ความจริงชั้นปรมัติ ทีนี้ก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป
รายการพุทธธรรมนำสุข ครั้ง ๑๕ "หัวใจของธรรมะหรือหัวใจของพระพุทธศาสนาหรือหัวใจของธรรมชาติ" : หัวใจของธรรมะนั้นคือคำว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ฟังดูเป็นของเล่น เป็นของพูดเล่น เด็ก ๆ ก็พูดได้ นี้เรียกว่าเด็ก ๆ ก็พูดได้ ยอมรับว่าเด็ก ๆ ก็พูดได้เช่นนั่นเอง เสร็จแล้วคนแก่หัวหงอกก็ปฏิบัติไม่ได้มันยากอยู่ที่ตรงนี้ต่างหาก ถ้ายอมว่าสิ่งทั้งปวงเช่นนั้นเอง รู้ว่าไม่มีไม่มีใครยอม ล้วนมีแต่คนที่จะดึงมาตามความต้องการของกู จงมาเป็นตามความต้องการของกู ไม่ได้กูไม่ยอมกูก็ต้อสู้ กูก็ต้อสู้จนตัวตายไปเองก็มี