" ไม่มั่นหมายในความเป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะ
ไม่มั่นหมายในความเป็นเสียง เป็นเสียงเขา-เสียงเรา
ไม่มั่นหมายในความเป็นโสตวิญญาณเรา
อวิชชาจะถูกละไป อวิชชาสัมผัสจะทำงานไม่ได้ "
---
" เพราะสำคัญมั่นหมาย ก็มีเลยมีฉันทะราคะ (อุปาทานขันธ์ ๕)
เพราะสำคัญมั่นหมาย ก็มีเลยมีความเพลินพอใจ
เพราะสำคัญมั่นหมาย ก็มีเลยมีความผูกพัน
เพราะมีฉันทะราคะ มีความพอใจ มีความผูกพัน ก็เลยไปเป็นทุกข์ด้วย "
---
" แต่ถ้ายังเสียดายความพอใจอยู่ เสียดายฉันทะราคะอยู่
เรื่องนี้ก็ยังไม่จบ ยังต้องมีอุปาทานขันธ์ ๕ ทำงานอยู่
ต้องใจกล้าว่าขันธ์ก็ไม่ใช่ขันธ์ แล้วจะไปมีฉันทะราคะทำไม?
ฉันทะราคะสลัดทิ้งไป ไม่ได้มีจริง ไม่ได้มีตัวตนจริงจัง
เป็นกระบวนการต่อเนื่องกับความเคยชิน จากความสำคัญมั่นหมาย "
---
" มีบางสิ่งที่กระตุ้นก่อให้เกิดความโลภ โกรธ หลง หรือความทุกข์ใจ
มันไม่ใช่คนกระตุ้น มันเกิดจากสังขารที่อวิชชาสัมผัส
สรุปว่าไม่ใช่คนข้างนอกมีอวิชชา มากระตุ้นเราหรือกระตุ้นใคร
มันเป็นอวิชชามากระตุ้นอวิชชากันเอง ก็เลยเป็นทะเลสังสารวัฏแห่งอวิชชา
ซึ่งกระตุ้นทางไหน? ก็ทางอายตนะ ๖ "
---
" อายตนะ ๖ คือ มหาสมุทรแห่งสังสารวัฏ
แต่อย่าลืมว่าไม่ใช่คน สัตว์ หรือเทวดาที่มีอายตนะ
อย่าลืมว่าไม่ใช่คน สัตว์ หรือเทวดาที่มีอวิชชา
การเห็นเป็นอื่น โดยประการอื่น จากที่สำคัญเอาไว้ เป็นการละอวิชชา
หรือการละความสำคัญมั่นหมายทั้งหมด โดยความเป็นขันธ์ ธาตุ อายตนะ จึงจะจบกิจ "