ฟังธรรมจากพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี)

แค่รู้แค่ดู - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 6/17)


Listen Later

คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร

ในการปฏิบัติแท้จริงก็คือ รู้ลมไปเรื่อยๆ เมื่อมีสภาวะใดเกิด ที่ตัวรู้เขารู้ได้ ก็รู้สภาวะนั้น ที่อธิบายที่พูดมาในคอร์สนี้ทั้งหมด มันคือ ตัวสภาวะที่มันเกิดขึ้น แต่ถ้าเราไม่รู้ หรือมันไม่เห็น หรือมันไม่มี เราก็รู้ลมไป ไม่ต้องตั้งธงในใจว่า เอ๊ะ ทําไมมันไม่รู้ หรือรู้แล้วทําไมมันเหนื่อย ทําไมมันเครียด เหตุที่มันเหนื่อยและเครียดเพราะอะไร?

ความจริง ถ้ามันเหนื่อยข้างในเป็นอาการของใจ ก็ถอยกลับไป แล้วก็ดูความเหนื่อย มันเครียด ถอยกลับไป แล้วก็ดูความเครียดทั้งหมดมันอยู่ สถานะที่เพียงแค่รู้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ให้พึงสังวรณ์ไว้ด้วยว่า อิจฉาวจร ใกล้เคียงกับ ตัณหาจริยา เพียงแต่ว่า ตัณหาจริยามันจะเกิดในสมาธิ อิจฉาวจรมันจะเกิดในทุกๆกิริยาของชีวิต ที่เราตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา เรามีความอยากอะไร มีความปรารถนาอะไร นั่นอิจฉาวจรทั้งหมด และเราไม่ได้ดูอิจฉาวจร เราไม่ต้องไปดูมัน ดูอังคณะ อันเกิดขึ้นจากอิจฉาวจรนั่นแหละ

ทีนี้ถ้ามันไม่เกิดทำอย่างไร? ก็มันไม่เกิดแล้วจะทําอย่างไร? ก็รู้ลม คือ มันจะเกิดหรือไม่เกิด เราก็ต้องรู้ลม ถ้าเราไปมุ่งจ้องหาแต่สิ่งที่พูด ในสภาวะเหล่านี้ซึ่งเป็นอาการของใจทั้งหมดนะ ลมเป็นอาการของกาย แต่สิ่งที่พูดมาทั้งหมดในคอร์สนี้ นี่คืออาการของใจ ซึ่งมันละเอียดกว่าใช่ไหม? เราต้องมีกายเป็นเครื่องอยู่ก่อน พอมีกายเป็นเครื่องอยู่ คือ มีลมเป็นเครื่องอยู่แล้ว จึงจะไปดูในสภาวะอื่นที่มันปรากฏ ถ้ามีสภาวะอื่นปรากฏ แล้วหลุดออกจากกาย หลุดออกจากลม นั่นก็คือ มันหลุดออกจากฐาน ลมจะเป็นตัวที่แขวนตัวนิ่งรู้เฉยอยู่ให้คงอยู่กับฐาน

ที่พูดว่า เอาจิตกลับไปที่ฐาน แล้วใช้ลมเป็นตัวเลี้ยง ก็คือ ให้ตัวรู้มีกายเป็นเครื่องอยู่นั่นแหละ แล้วถ้ามันมีสภาวะเกิดขึ้นมา ก็ดูมันแค่นั้นเองทําหน้าที่แค่รู้แค่ดู ไม่ได้อยากรู้อยากดู ไม่ได้จ้องรู้จ้องดู ไม่ได้ประสงค์ที่จะรู้หรือจะดู

ถ้าเมื่อใดที่อยากรู้อยากดู ประสงค์ที่จะรู้จะดู นั้นน่ะเรา

การปฏิบัติในหลักของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้และนํามาสอน จะต้องมีรูปนามกายใจเป็นฐาน ใช่ไหม? เขาเรียกว่า สติปัฏฐาน ถ้าหลุดปั๊บมันไม่เป็นสติปัฏฐานทันที

ในตัวเรามีธรรมชาติที่เคลื่อนไหวอยู่ ๒ สาย ถ้าหลุดออกจากสายหนึ่ง มันก็จะไปอยู่อีกสายหนึ่งทันที

  • สายหนึ่ง เป็นสายของอวิชชา
  • อีกสายหนึ่ง เป็นสายของวิชชา

วิชชากับอวิชชา เป็นธรรมชาติ ๒ สายที่มีอยู่ในนี้ ถ้าเราทําเหตุของอวิชชา มันก็จะเดินไปกับสายของอวิชชา ปัญหาของเราก็คือว่า อวิชชามันยิ่งใหญ่มาก ใหญ่เหมือนมหาสมุทร เพราะมันบ่มเรามา อบรมเรามา พัฒนาเรามา โดยอาศัยโมหะ อุปธิ ตัณหา อุปาทาน นี่เป็นเหล่าบริวารของอวิชชาทั้งนั้น แล้วมาจนถึงวันนี้ นี่นับแค่ชาตินี้นะ ไม่รู้สักกี่ล้านของขณะจิต นับเป็นอสงไขยก็ได้ นับเป็นกัปเป็นกัลป์เลยแหละ มันเยอะมาก ที่มันเดินอยู่ในอํานาจของอวิชชา ในธรรมชาติที่ชื่อว่าอวิชชา ในสายนี้

เพราะฉะนั้น เวลาเราจะพลิกกลับไปอยู่ในธรรมชาติอีกสายหนึ่ง มันไม่มีวิธีอื่นใด นอกจากวิธีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พอเราพลิกออกไปแล้ว มันก็จะต้องแน่วแน่อยู่ในเส้นทางนั้น

เราเดินเราหลงอยู่ หลงไปด้วยอํานาจของอวิชชา เรียกว่า เดินสายนี้อยู่ ที่รู้อยู่คือ วนอยู่นั่น เวียนว่ายตายเกิด วนอยู่นั่น ในขณะจิตหนึ่ง พอเดินไปด้วยอํานาจของกับอวิชชา พอจบในขณะจิตหนึ่ง มันก็ดับกลับมา สะสมวิบากอันเป็นกรรม วัฏฏะที่มันวนอยู่อย่างนี้ กิเลส กรรม วิบาก

ธรรมชาติสายนี้ที่ชื่อว่า อวิชชา ไม่มีออกไปจากนั้นได้

แต่พอเรานิ่งรู้เฉยอยู่ นำจิตเข้าสู่ฐาน ที่ชื่อว่าให้มันเป็นจุดตั้งต้นของสติปัฏฐาน คือ เส้นทางที่พระพุทธเจ้าชี้ ชี้ว่าเดินออกมา ไม่ใช่เดินออกมาเฉยๆนะ เดินออกมาอยู่ตรงนี้ แล้วจะหยุดวัฏฏะทั้ง ๓ นี้เลย หยุดการหมุนของวัฏฏะก่อน คือ พลิกออกมา แล้วแน่วแน่นิ่งรู้เฉยอยู่ตรงนั้น และก็ต้องอยู่ภายใน ต้องอยู่ที่กายที่ใจนี้ ไปอยู่ที่อื่นไม่ได้  แล้วก็รู้สภาวะต่างๆ ที่มันปรากฏตามความเป็นจริงของมันที่ปรากฏ


อะไรก็ตามที่เราหลงเข้าไปด้วยความดีใจ อันนั้นต้องมีเสียใจ

เพราะมันไม่เที่ยงสักอย่างเดียว แม้แต่สภาวะทั้งหมดก็ไม่เที่ยง

#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #คำสอน #อวิชชา

...more
View all episodesView all episodes
Download on the App Store

ฟังธรรมจากพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี)By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)