
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-8 ก.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
จิตที่เป็นประภัสสร คือ จิตเดิมที่เป็นตัวจิตที่อิสระ ที่ผุดผ่อง ที่เป็นธรรมชาติรู้ แต่มันไม่มีสติ พอเข้าสู่ระบบของความตั้งมั่น นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ที่บ่มมาจากช่องทางที่พระพุทธเจ้าชี้ด้วยสติปาริสุทธิ ความผุดผ่องอันนั้นมันผุดผ่องแบบมีสติแลอยู่ตามกําลังของความตั้งมั่นนั้น
จิตตัวเดิมนี่แหละมันเป็นประภัสสร แต่อยู่ในอํานาจของอวิชชา ผุดผ่องชนิดที่ไม่มีสติแลอยู่ ตั้งแต่กายใจนี้อยู่ในท้องของแม่ มันผุดผ่องอย่างนี้แหละแต่มันไม่มีสติ พอมันไม่มีสติคือมันไม่รู้อะไร จนพัฒนาการของกายมันโตขึ้น โตขึ้น ตัวผุดผ่องซึ่งเป็นธาตุรู้นี้ ก็รู้ว่ามันอยู่ในกาย แล้วสิ่งแรกที่มันรู้ว่ามันอยู่ในกายน่ะถูกอวิชชาครอบไว้ แล้วมันก็เลยรู้อย่างประจักษ์ด้วยอํานาจของอวิชชาว่า “มันเป็นกาย กายเป็นมัน” ทันทีของจิตแรกที่มันรู้
ตัวผุดผ่องคือจิตที่ไม่มีสติ จึงอยู่ในอํานาจของอวิชชา ความไม่รู้ ที่นอนเนื่องอยู่ในกาย กายมันเกิดก่อน ธาตุ ๔ มันเกิดก่อน ตั้งแต่เป็นกลละ อัมพุทะ ในหลักการแพทย์เขาบอกมันเกิดการแบ่งเซลล์ กระบวนการพัฒนาของกายมันเกิดก่อน ถ้าไม่มีจิตปฏิสนธิ หมายถึงว่าไม่ปรากฏจิตในระยะครรภ์ที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ ๓ การแบ่งเซลล์อันนี้ก็กลายเป็นเนื้องอก หรือว่าแตกทําลายไปตามสถานะที่มันเป็นในขณะนั้น นั่นในส่วนที่เป็นกาย แต่พอมีจิตปรากฏ จิตที่ปรากฏมันเนื่อง มันผุดผ่องอยู่ในกายนั้นแหละแต่มันไม่รู้ เพราะมันเชื่อมกับกายไม่ได้ แต่มันร่วมกันกับธาตุทั้ง ๔ พัฒนากายขึ้นมาเป็นอายตนะ ตัวที่จะไปร่วมกับกาย ร่วมกับธาตุ ๔ ที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นอายตนะ คือกรรม คือวิบากแห่งจิตที่มีอยู่ในจิตที่มันผุดผ่องนั้นๆ ด้วยอํานาจของอวิชชานั้นเอง พอมีตัวธาตุรู้ของจิตที่รับรู้กับกายได้ มันจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับกาย ก็คือว่าด้วยอํานาจของอวิชชามันจะหยั่งลงไปแล้ว ก็จะหลงไปในกายทันที เรียกว่า อวิชชาพาจิตให้หลงไปในสังขาร ส่งผลออกมาต่อจิตที่มันเข้าใจว่า มันคือกาย กายคือมัน กายของมัน เห็นกายโดยความเป็นเรา เห็นตัวจิตโดยความเป็นเรา กายกับจิตเป็นอันเดียวกัน นั่นคือเรา ด้วยอํานาจของอวิชชาตั้งแต่ตอนนั้น
แต่จิตที่มันผุดผ่องอยู่ มันก็ผุดผ่องอยู่อย่างนั้น ตัวที่ผุดผ่องนั้นแหละไม่มีสติ แล้วมันพาเข้าไปสู่ในกลไกของความทุกข์ ผ่านการยึดมั่นถือมั่นตลอด เราทุกคนที่นั่งที่นี่ล้วนมีเรื่องราวของแต่ละคน ในเรื่องราวของชีวิตทั้งหมดของรูปนามนี้ เป็นสัญญาอุปาทาน คือ มันหล่อหลอมขึ้นมาเป็นเราทั้งหมด เพียงแค่มันโผล่ขึ้นมาในปัจจุบันขณะ ในห้วงใดห้วงหนึ่งของชีวิต มันก็เป็นเราไปหมด
แต่ถ้าเราพิจารณาดูด้วยจิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระอันมีสติแลอยู่ ในแต่ละห้วงของเวลาอันเป็นเรื่องราวของชีวิต เราก็จะเห็นได้ว่าจิตตัวที่มันกําลังพิจารณาอยู่นี้มันเป็นตัวผุดผ่องที่มีสติ แล้วมันก็รู้ในแต่ละเรื่องแต่ละอย่างแห่งอดีตนั้นว่า มันเป็นสิ่งที่เข้ามาแปะ เข้ามาปรุงแต่ง เข้ามาห้อมล้อม จิตที่มันผุดผ่องนั้น และเข้าไปสู่กลไกของมัน เป็นวัฏฏะ จนมันเป็นทุกข์ในแต่ละอย่างและทุกครั้งที่มันเป็นอย่างนั้น ตัวเรารู้สึกว่ามันเป็นทุกข์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับกายหรือกับจิต หรือเกิดขึ้นกับสิ่งที่มันยึดถือและมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งแต่ละห้วงของเวลา แล้วในที่สุดเราก็จะเห็นว่าทั้งในขณะจิตที่มันเป็นสุข ในแต่ละห้วงเวลาที่มันเคยเกิดในเรื่องราวชีวิต ในสิ่งที่มันเป็นสุขในแต่ละขณะมันเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยและมันก็ดับไป แล้วมันก็สุขใหม่จากเหตุปัจจัยแล้วมันก็ดับไป อาการที่มันเกิดดับของความสุขในความเป็นเรา อาการเกิดดับนั่นแหละเขาเรียกว่า มันพิบัติแปรปรวนของสิ่งที่เข้ามาปะปนอยู่กับจิตที่ผุดผ่อง เรื่องราวเหล่านั้นผ่านสัญญาอุปาทานโดยหมายรู้ผ่านทางชื่อของมัน พอเราไหลไปที่ชื่ออะไรในขณะที่เป็นปัจจุบันอยู่ ตัวจิตตสังขารจะเกิดขึ้น เรียกว่าความคิด ความคิดจะเกิดขึ้นโดยการผ่านชื่อ ในขณะที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ คือ จิตผุดผ่องอันมีสติแล้วแลอยู่นี้ มีสิ่งใดมากระทบผ่านตาหูจมูกลิ้นกาย จ กระทบผ่านตา เช่น เห็นอะไร จิตก็จะรู้ด้วยสัญญาว่า สิ่งที่ถูกเห็นนั้นมีการเห็นเกิดขึ้น แล้วก็ไหลเข้าไปสู่ความหมายของชื่อในสิ่งที่เห็น การไหลเข้าไปสู่ความหมายของชื่อในสิ่งที่เห็นนั่นแหละ คือคิด เป็นจิตตสังขาร กระชากลากจิตไป
ถ้านิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระในขณะนี้เป็นจิตผุดผ่องที่มีสติแลอยู่ แม้นไปผ่านชื่อไหลเข้าไปสู่ความหมาย แต่มีสติแลอยู่ นั่นเรียกว่า เห็นจิตตสังขาร
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-8 ก.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
จิตที่เป็นประภัสสร คือ จิตเดิมที่เป็นตัวจิตที่อิสระ ที่ผุดผ่อง ที่เป็นธรรมชาติรู้ แต่มันไม่มีสติ พอเข้าสู่ระบบของความตั้งมั่น นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ ที่บ่มมาจากช่องทางที่พระพุทธเจ้าชี้ด้วยสติปาริสุทธิ ความผุดผ่องอันนั้นมันผุดผ่องแบบมีสติแลอยู่ตามกําลังของความตั้งมั่นนั้น
จิตตัวเดิมนี่แหละมันเป็นประภัสสร แต่อยู่ในอํานาจของอวิชชา ผุดผ่องชนิดที่ไม่มีสติแลอยู่ ตั้งแต่กายใจนี้อยู่ในท้องของแม่ มันผุดผ่องอย่างนี้แหละแต่มันไม่มีสติ พอมันไม่มีสติคือมันไม่รู้อะไร จนพัฒนาการของกายมันโตขึ้น โตขึ้น ตัวผุดผ่องซึ่งเป็นธาตุรู้นี้ ก็รู้ว่ามันอยู่ในกาย แล้วสิ่งแรกที่มันรู้ว่ามันอยู่ในกายน่ะถูกอวิชชาครอบไว้ แล้วมันก็เลยรู้อย่างประจักษ์ด้วยอํานาจของอวิชชาว่า “มันเป็นกาย กายเป็นมัน” ทันทีของจิตแรกที่มันรู้
ตัวผุดผ่องคือจิตที่ไม่มีสติ จึงอยู่ในอํานาจของอวิชชา ความไม่รู้ ที่นอนเนื่องอยู่ในกาย กายมันเกิดก่อน ธาตุ ๔ มันเกิดก่อน ตั้งแต่เป็นกลละ อัมพุทะ ในหลักการแพทย์เขาบอกมันเกิดการแบ่งเซลล์ กระบวนการพัฒนาของกายมันเกิดก่อน ถ้าไม่มีจิตปฏิสนธิ หมายถึงว่าไม่ปรากฏจิตในระยะครรภ์ที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ ๓ การแบ่งเซลล์อันนี้ก็กลายเป็นเนื้องอก หรือว่าแตกทําลายไปตามสถานะที่มันเป็นในขณะนั้น นั่นในส่วนที่เป็นกาย แต่พอมีจิตปรากฏ จิตที่ปรากฏมันเนื่อง มันผุดผ่องอยู่ในกายนั้นแหละแต่มันไม่รู้ เพราะมันเชื่อมกับกายไม่ได้ แต่มันร่วมกันกับธาตุทั้ง ๔ พัฒนากายขึ้นมาเป็นอายตนะ ตัวที่จะไปร่วมกับกาย ร่วมกับธาตุ ๔ ที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นอายตนะ คือกรรม คือวิบากแห่งจิตที่มีอยู่ในจิตที่มันผุดผ่องนั้นๆ ด้วยอํานาจของอวิชชานั้นเอง พอมีตัวธาตุรู้ของจิตที่รับรู้กับกายได้ มันจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับกาย ก็คือว่าด้วยอํานาจของอวิชชามันจะหยั่งลงไปแล้ว ก็จะหลงไปในกายทันที เรียกว่า อวิชชาพาจิตให้หลงไปในสังขาร ส่งผลออกมาต่อจิตที่มันเข้าใจว่า มันคือกาย กายคือมัน กายของมัน เห็นกายโดยความเป็นเรา เห็นตัวจิตโดยความเป็นเรา กายกับจิตเป็นอันเดียวกัน นั่นคือเรา ด้วยอํานาจของอวิชชาตั้งแต่ตอนนั้น
แต่จิตที่มันผุดผ่องอยู่ มันก็ผุดผ่องอยู่อย่างนั้น ตัวที่ผุดผ่องนั้นแหละไม่มีสติ แล้วมันพาเข้าไปสู่ในกลไกของความทุกข์ ผ่านการยึดมั่นถือมั่นตลอด เราทุกคนที่นั่งที่นี่ล้วนมีเรื่องราวของแต่ละคน ในเรื่องราวของชีวิตทั้งหมดของรูปนามนี้ เป็นสัญญาอุปาทาน คือ มันหล่อหลอมขึ้นมาเป็นเราทั้งหมด เพียงแค่มันโผล่ขึ้นมาในปัจจุบันขณะ ในห้วงใดห้วงหนึ่งของชีวิต มันก็เป็นเราไปหมด
แต่ถ้าเราพิจารณาดูด้วยจิตที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระอันมีสติแลอยู่ ในแต่ละห้วงของเวลาอันเป็นเรื่องราวของชีวิต เราก็จะเห็นได้ว่าจิตตัวที่มันกําลังพิจารณาอยู่นี้มันเป็นตัวผุดผ่องที่มีสติ แล้วมันก็รู้ในแต่ละเรื่องแต่ละอย่างแห่งอดีตนั้นว่า มันเป็นสิ่งที่เข้ามาแปะ เข้ามาปรุงแต่ง เข้ามาห้อมล้อม จิตที่มันผุดผ่องนั้น และเข้าไปสู่กลไกของมัน เป็นวัฏฏะ จนมันเป็นทุกข์ในแต่ละอย่างและทุกครั้งที่มันเป็นอย่างนั้น ตัวเรารู้สึกว่ามันเป็นทุกข์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับกายหรือกับจิต หรือเกิดขึ้นกับสิ่งที่มันยึดถือและมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งแต่ละห้วงของเวลา แล้วในที่สุดเราก็จะเห็นว่าทั้งในขณะจิตที่มันเป็นสุข ในแต่ละห้วงเวลาที่มันเคยเกิดในเรื่องราวชีวิต ในสิ่งที่มันเป็นสุขในแต่ละขณะมันเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยและมันก็ดับไป แล้วมันก็สุขใหม่จากเหตุปัจจัยแล้วมันก็ดับไป อาการที่มันเกิดดับของความสุขในความเป็นเรา อาการเกิดดับนั่นแหละเขาเรียกว่า มันพิบัติแปรปรวนของสิ่งที่เข้ามาปะปนอยู่กับจิตที่ผุดผ่อง เรื่องราวเหล่านั้นผ่านสัญญาอุปาทานโดยหมายรู้ผ่านทางชื่อของมัน พอเราไหลไปที่ชื่ออะไรในขณะที่เป็นปัจจุบันอยู่ ตัวจิตตสังขารจะเกิดขึ้น เรียกว่าความคิด ความคิดจะเกิดขึ้นโดยการผ่านชื่อ ในขณะที่นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ คือ จิตผุดผ่องอันมีสติแล้วแลอยู่นี้ มีสิ่งใดมากระทบผ่านตาหูจมูกลิ้นกาย จ กระทบผ่านตา เช่น เห็นอะไร จิตก็จะรู้ด้วยสัญญาว่า สิ่งที่ถูกเห็นนั้นมีการเห็นเกิดขึ้น แล้วก็ไหลเข้าไปสู่ความหมายของชื่อในสิ่งที่เห็น การไหลเข้าไปสู่ความหมายของชื่อในสิ่งที่เห็นนั่นแหละ คือคิด เป็นจิตตสังขาร กระชากลากจิตไป
ถ้านิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระในขณะนี้เป็นจิตผุดผ่องที่มีสติแลอยู่ แม้นไปผ่านชื่อไหลเข้าไปสู่ความหมาย แต่มีสติแลอยู่ นั่นเรียกว่า เห็นจิตตสังขาร
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร