
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 ส.ค. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม.
โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
จิตกับกาย ถ้าเราเกิดมาจากท้องแม่ใหม่ๆมีกายมีใจ กายกับจิตนั้นน่ะมันบริสุทธิ์ทั้ง ๒ ตัว จิตที่มันบริสุทธิ์อยู่นั้นน่ะแต่มันบริสุทธิ์อยู่ด้วยความไม่รู้ หลังจากที่มันมีความไม่รู้แล้ว ความไม่รู้ห่อจิตเข้าไปเรียนรู้ผ่านตาหูจมูกลิ้นกาย มันก็เกิดมีอดีตมีอนาคตขึ้นมา เกิดชอบเกิดไม่ชอบเกิดรักเกิดชังขึ้นมา รัก ชอบ ไม่ชอบ นี่มันเกิดขึ้นมาเมื่อใดมันก็ตกมาเป็นวิบากให้กับจิต กลายมาเป็นกิเลส เป็นอาสวะ เป็นอุปกิเลส เข้ามาหุ้มห่อพอกอยู่ที่จิตเดิมๆ จิตตัวเดิมๆนั่นน่ะมันก็เลยไม่มีโอกาสที่จะโผล่หัวออกมา เพราะอํานาจของอวิชชาที่มันห่อให้หลงเข้าไปในการปรุงแต่ง แล้วก็สะสมเป็นอาสวะ ตกเป็นตะกอนอยู่ที่จิตไปเรื่อยๆจนเป็น ๓ ชั้น ชั้นแรกหยาบที่สุดก็คือ นิวรณ์ ๕ ชั้นต่อมาก็คืออาสวะ ชั้นต่อไปก็เป็นอนุสัย ตกลงไปเรื่อยๆ ตกลงไปเรื่อยๆ ตกลงไปเรื่อยๆ ตัวอนุสัยที่หยั่งลึกลงไปที่จิตน่ะเป็นรากของมัน ที่จะเป็นทางนําเข้าไปสู่อวิชชา ความไม่รู้ก็จะยิ่งมีกําลังเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ทั้งหมดนั้นน่ะมันอยู่ในก้อนชีวิตที่อวิชชาสร้างขึ้น ด้วยเรียกสั้นๆว่าเรา
ด้วยเรียกสั้นๆว่าเรา คําว่า “เรา” ปัจจุบันนี่อยู่มาจนอายุขนาดนี้ ทั้งก้อนชีวิตนี้เป็นก้อนชีวิตที่อวิชชามันสร้างขึ้น จิตที่เข้าไปรับรู้เรื่องราวต่างๆทั้งหมดอยู่ในอํานาจของอวิชชาทั้งหมด ทีนี้การที่จะไปยืนในจุดช่องที่พระพุทธเจ้าชี้นี่จะต้องถอยออกมาจากความเป็นเราทั้งหมดนั้น แล้วไปยืนจุดนั้น นิ่งๆอยู่ ในขณะที่ไปยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ การรู้เห็นของจิตที่ด้วยอํานาจของสติที่เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่นั่นแหละ มันไม่รู้อันอื่น มันจะรู้สิ่งที่เป็นธรรมชาติซึ่งเกิดในจุดที่จิตนิ่งอยู่นั่นเอง นั่นก็คือลมหายใจ มันจึงเป็นเรื่องแรกในทางปฏิบัติ ไม่ว่าในสติปัฏฐานในกายคตาสติ พระพุทธเจ้าจะเริ่มต้นด้วยลมหายใจ เพราะจิตที่นิ่งอยู่ในการที่จะไปรู้ลมหายใจ มันไปยืนเหมือนเรายืนอยู่กลางประตู คนเดินเข้าก็รู้ คนเดินออกก็ รู้โดยไม่ต้องไปขวนขวายที่จะไปรู้มัน มันรู้ของมันเอง เพราะมันยืนอยู่ในจุด เหตุมันเกิดในที่เดียวกัน ในขณะที่สติไปรู้ลมออกจิตมันก็นิ่งอยู่ตรงนั้น ในขณะที่สติไปรู้ลมเข้าจิตมันก็นิ่งอยู่ตรงนั้น รู้ลมออกจิตก็นิ่งอยู่ตรงนั้น อาการที่จิตนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่นิ่งเฉยๆนะ กําลังความนิ่งของจิตจะเพิ่มขึ้นมาจากการที่มีสติเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ตกเป็นวิบากอันเป็นอุเบกขาให้กับจิต นี่ทางที่พระพุทธเจ้าชี้มันเป็นอย่างนี้
พอรู้เรื่องราวรายละเอียดของลมหายใจ รู้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนมันจบเรื่องราวของลมหายใจแล้ว มันรู้สุดของลมหายใจแล้ว ลมหายใจนั้นก็จะระงับ จิตยังอยู่กับการหายใจอยู่ แต่ตัวสติที่เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่มันก็รู้สิ่งที่โผล่ขึ้นมาอีก สิ่งที่โผล่ขึ้นมาในขณะที่กายระงับนั่นก็คือความรู้สึก เขาเรียกว่าเวทนา ที่ท่านวางไว้ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสติปัฏฐาน ๔ เพราะไม่ใช่อะไรอื่นนะ มันเป็นธรรมชาติที่มันจะเกิดขึ้นตามลําดับของมัน พอกายระงับ ลมระงับ กายสงบ จิตนิ่งอยู่นี่ อะไรล่ะที่มันจะปรากฏขึ้นมา ถ้ามันไปรู้เรื่องราวข้างนอกแสดงว่าจิตหลุดออกไปแล้ว จิตหลุดออกไปมันก็ไม่เป็นสติปัฏฐาน แต่ตราบใดที่จิตยังนิ่งอยู่ข้างใน สติที่เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่ข้างในนี้มันรู้แจ้งจบในเรื่องของกายมัน เพราะว่ากายมันสงบระงับไปความรู้สึกมันก็โผล่ขึ้นมา ความรู้สึกที่มันมีอยู่แต่เดิม กายมันยังหยาบอยู่ ลมยังหยาบอยู่ สติที่เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่มันก็รู้ลมรู้กาย รู้ลมรู้กาย รู้ลมรู้กาย ตรงๆไปเรื่อยๆจนกายระงับ ลมสงบ ความรู้สึกที่มีอยู่มันก็เด่นชัดขึ้นมา สติมันก็รู้ความรู้สึกนั่นแหละ แต่ในขณะที่รู้ความรู้สึกจิตมันก็นิ่งอยู่ตรงนั้น ถ้าไปรู้ความรู้สึกเสียก่อนจิตไม่มีกําลังแห่งความตั้งมั่นนิ่งอยู่ก็จะมีเราเข้าไปแทรกด้วย อํานาจของอวิชชา เราเข้าไปแทรกได้อย่างไร? เราเข้าไปแทรกก็เพราะว่าจิตจะต้องคอยไปกําหนดจับดูความรู้สึกที่เกิด พอจิตต้องไปกําหนดจับดูความรู้สึกที่เกิดมันเป็นเราไปทันทีเลย เพราะสติที่เข้าไปรู้ในความรู้สึกนั้นร่วมกับจิตเป็นสติที่ไม่บริสุทธิ์ บ่มความตั้งมั่นไม่ได้ จิตก็เคลื่อนไปเคลื่อนมา
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน
#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 ส.ค. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม.
โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
จิตกับกาย ถ้าเราเกิดมาจากท้องแม่ใหม่ๆมีกายมีใจ กายกับจิตนั้นน่ะมันบริสุทธิ์ทั้ง ๒ ตัว จิตที่มันบริสุทธิ์อยู่นั้นน่ะแต่มันบริสุทธิ์อยู่ด้วยความไม่รู้ หลังจากที่มันมีความไม่รู้แล้ว ความไม่รู้ห่อจิตเข้าไปเรียนรู้ผ่านตาหูจมูกลิ้นกาย มันก็เกิดมีอดีตมีอนาคตขึ้นมา เกิดชอบเกิดไม่ชอบเกิดรักเกิดชังขึ้นมา รัก ชอบ ไม่ชอบ นี่มันเกิดขึ้นมาเมื่อใดมันก็ตกมาเป็นวิบากให้กับจิต กลายมาเป็นกิเลส เป็นอาสวะ เป็นอุปกิเลส เข้ามาหุ้มห่อพอกอยู่ที่จิตเดิมๆ จิตตัวเดิมๆนั่นน่ะมันก็เลยไม่มีโอกาสที่จะโผล่หัวออกมา เพราะอํานาจของอวิชชาที่มันห่อให้หลงเข้าไปในการปรุงแต่ง แล้วก็สะสมเป็นอาสวะ ตกเป็นตะกอนอยู่ที่จิตไปเรื่อยๆจนเป็น ๓ ชั้น ชั้นแรกหยาบที่สุดก็คือ นิวรณ์ ๕ ชั้นต่อมาก็คืออาสวะ ชั้นต่อไปก็เป็นอนุสัย ตกลงไปเรื่อยๆ ตกลงไปเรื่อยๆ ตกลงไปเรื่อยๆ ตัวอนุสัยที่หยั่งลึกลงไปที่จิตน่ะเป็นรากของมัน ที่จะเป็นทางนําเข้าไปสู่อวิชชา ความไม่รู้ก็จะยิ่งมีกําลังเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ทั้งหมดนั้นน่ะมันอยู่ในก้อนชีวิตที่อวิชชาสร้างขึ้น ด้วยเรียกสั้นๆว่าเรา
ด้วยเรียกสั้นๆว่าเรา คําว่า “เรา” ปัจจุบันนี่อยู่มาจนอายุขนาดนี้ ทั้งก้อนชีวิตนี้เป็นก้อนชีวิตที่อวิชชามันสร้างขึ้น จิตที่เข้าไปรับรู้เรื่องราวต่างๆทั้งหมดอยู่ในอํานาจของอวิชชาทั้งหมด ทีนี้การที่จะไปยืนในจุดช่องที่พระพุทธเจ้าชี้นี่จะต้องถอยออกมาจากความเป็นเราทั้งหมดนั้น แล้วไปยืนจุดนั้น นิ่งๆอยู่ ในขณะที่ไปยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ การรู้เห็นของจิตที่ด้วยอํานาจของสติที่เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่นั่นแหละ มันไม่รู้อันอื่น มันจะรู้สิ่งที่เป็นธรรมชาติซึ่งเกิดในจุดที่จิตนิ่งอยู่นั่นเอง นั่นก็คือลมหายใจ มันจึงเป็นเรื่องแรกในทางปฏิบัติ ไม่ว่าในสติปัฏฐานในกายคตาสติ พระพุทธเจ้าจะเริ่มต้นด้วยลมหายใจ เพราะจิตที่นิ่งอยู่ในการที่จะไปรู้ลมหายใจ มันไปยืนเหมือนเรายืนอยู่กลางประตู คนเดินเข้าก็รู้ คนเดินออกก็ รู้โดยไม่ต้องไปขวนขวายที่จะไปรู้มัน มันรู้ของมันเอง เพราะมันยืนอยู่ในจุด เหตุมันเกิดในที่เดียวกัน ในขณะที่สติไปรู้ลมออกจิตมันก็นิ่งอยู่ตรงนั้น ในขณะที่สติไปรู้ลมเข้าจิตมันก็นิ่งอยู่ตรงนั้น รู้ลมออกจิตก็นิ่งอยู่ตรงนั้น อาการที่จิตนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่นิ่งเฉยๆนะ กําลังความนิ่งของจิตจะเพิ่มขึ้นมาจากการที่มีสติเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ตกเป็นวิบากอันเป็นอุเบกขาให้กับจิต นี่ทางที่พระพุทธเจ้าชี้มันเป็นอย่างนี้
พอรู้เรื่องราวรายละเอียดของลมหายใจ รู้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนมันจบเรื่องราวของลมหายใจแล้ว มันรู้สุดของลมหายใจแล้ว ลมหายใจนั้นก็จะระงับ จิตยังอยู่กับการหายใจอยู่ แต่ตัวสติที่เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่มันก็รู้สิ่งที่โผล่ขึ้นมาอีก สิ่งที่โผล่ขึ้นมาในขณะที่กายระงับนั่นก็คือความรู้สึก เขาเรียกว่าเวทนา ที่ท่านวางไว้ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสติปัฏฐาน ๔ เพราะไม่ใช่อะไรอื่นนะ มันเป็นธรรมชาติที่มันจะเกิดขึ้นตามลําดับของมัน พอกายระงับ ลมระงับ กายสงบ จิตนิ่งอยู่นี่ อะไรล่ะที่มันจะปรากฏขึ้นมา ถ้ามันไปรู้เรื่องราวข้างนอกแสดงว่าจิตหลุดออกไปแล้ว จิตหลุดออกไปมันก็ไม่เป็นสติปัฏฐาน แต่ตราบใดที่จิตยังนิ่งอยู่ข้างใน สติที่เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่ข้างในนี้มันรู้แจ้งจบในเรื่องของกายมัน เพราะว่ากายมันสงบระงับไปความรู้สึกมันก็โผล่ขึ้นมา ความรู้สึกที่มันมีอยู่แต่เดิม กายมันยังหยาบอยู่ ลมยังหยาบอยู่ สติที่เกิดจากจิตที่นิ่งอยู่มันก็รู้ลมรู้กาย รู้ลมรู้กาย รู้ลมรู้กาย ตรงๆไปเรื่อยๆจนกายระงับ ลมสงบ ความรู้สึกที่มีอยู่มันก็เด่นชัดขึ้นมา สติมันก็รู้ความรู้สึกนั่นแหละ แต่ในขณะที่รู้ความรู้สึกจิตมันก็นิ่งอยู่ตรงนั้น ถ้าไปรู้ความรู้สึกเสียก่อนจิตไม่มีกําลังแห่งความตั้งมั่นนิ่งอยู่ก็จะมีเราเข้าไปแทรกด้วย อํานาจของอวิชชา เราเข้าไปแทรกได้อย่างไร? เราเข้าไปแทรกก็เพราะว่าจิตจะต้องคอยไปกําหนดจับดูความรู้สึกที่เกิด พอจิตต้องไปกําหนดจับดูความรู้สึกที่เกิดมันเป็นเราไปทันทีเลย เพราะสติที่เข้าไปรู้ในความรู้สึกนั้นร่วมกับจิตเป็นสติที่ไม่บริสุทธิ์ บ่มความตั้งมั่นไม่ได้ จิตก็เคลื่อนไปเคลื่อนมา
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน
#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร