ฟังธรรมจากพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี)

ฌาน - คอร์สอานาปานสติ วัดป่าไม้แดง จ.เชียงใหม่ (10-14 ธ.ค. 65 8/22)


Listen Later

คอร์สอานาปานสติ วัดป่าไม้แดง จ.เชียงใหม่ วันที่ 10-14 ธ.ค. 65 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.ณ สำนักปฏิบัติธรรมสวนป่าพุทธชยันตี อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่

คิดที่เป็นการปฏิบัติธรรม หรือ โยนิโสมนสิการ คือ คิดที่ประกอบไปด้วย สติสัมปชัญญะที่เป็นกลาง นำไปสู๋สัมมาสังกัปปะ นำไปสู่ความตั้งมั่น

การทำจิตผู้รู้ ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า เป็นการคิดที่ประกอบไปด้วย สติสัมปชัญญะ ความตั้งมั่น คือ ฌาณ

ฌาณ แปลว่า เพ่งอย่างต่อเนื่องจนเกิดความตั้งมั่น

กิจในอานาปานสติ จิตผู้รู้ประกอบไปด้วย ระลึก แล้วก็รู้ จิตผู้รู้ประกอบไปด้วย สติสัมปชัญญะ เมื่อนำไปรู้กาย ก็ถือเป็นการคิด แต่คิดที่ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะ ตรงลงไปใน กาย เวทนา จิต ธรรม คิดนั้นเป็นสัมมาสังกัปปะ ตัวสติที่ประกอบไปด้วยความคิดอันเป็นกลางนั้นเป็นสัมมาสติ ถ้าเป็นเริ่มต้นของการคิดนั้นก็เป็นกระแสของสัมมาสติ

ฌาณ ไม่ใช่อารมณ์ของความตั้งมั่นที่ลึกลงไปในหลุมดำภายในใจ อันนั้นเป็นฌาณที่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ

ฌาณที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ คือ ความตั้งมั่นของจิตที่ต่อเนื่องอยู่กับความเป็นจริง มีสติและอุเบกขาที่บริสุทธิ์


การเดินอานาปานสติ ฌาณมีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดเป็นอย่างไร

ความหมดจดของปฏิปทาเป็นเบื้องต้นของปฐมฌาน

หมดจด คือ ไม่เป็นที่อาศัยของตัญหา มานะ ทิฏฐิ จิตผู้รู้เข้าสู่สิ่งที่ถูกรู้อย่างหมดจดเป็นกลาง จิตผู้รู้ที่รู้เข้าไปสู่ลมโผฏฐัพพารมณ์ ปราศจากอุปกิเลส อันตราย๘ประการ(นิวรณ์๕ อรติ อวิชชา อกุศล)

การพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลางของปฐมฌาน

เมื่อตัวผู้รู้ รู้สิ่งที่ถูกรู้นั้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ก็จะตกผลึก ตกตะกอนของความตั้งมั่นที่มีอุเบกขาเป็นฐาน อุเบกขาจะโตขึ้นมาตามความต่อเนื่องอย่างบริสุทธิ์ของจิตผู้รู้ที่ตรงเข้าสู่ลมโผฏฐัพพารมณ์ เมื่ออุเบกขาพอกพูน ลมจะค่อยๆละเอียด สั้นลง กายนิ่งลง นั่นคือ การพอกพูนของอุเบกขา

ความร่าเริงหมดจดของอุเบกขาคือที่สุดของปฐมฌาน

การดำเนินไปตามความหมดจดของปฏิปทา ชนิดที่พอกพูนอุเบกขานั้นแล้ว ผ่านไปแล้ว แล้วทรงตัวอยู่ อารมณ์ในขณะนั้น มีวิตก วิจาร ปิติ สุข เอกคัตตา เกิดขึ้นตามลำดับกำลังของ สติสัมปชัญญะและความตั้งมั่น ระลึกเป็นสติ รู้เป็นสัมปชัญญะ แต่อาการที่จิตเข้าไปสิ่งที่ถูกระลึกเป็นวิตก ตัวรู้ที่คลออยู่เป็นวิจาร ความร่าเริงเป็นที่สุดของปฐมฌาณ ร่าเริงจากปฏิปทาหมดจด เมื่อรู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ โดยที่ไม่ให้มันก้าวก่ายกัน เช่น ตัวรู้ นิมิต ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า โผฏฐัพพารมณ์ เป็นธรรมชาติคนละอย่าง เมื่อจิตแยกชัดได้ว่าเป็นธรรมชาติแต่ละอย่างจริงๆ จิตที่รู้ชัดนี้จะเกิดความร่าเริง เมื่อรู้ไปอย่างต่อเนื่อง จิตรู้สึกถึงความตั้งมั่นและอุเบกขา ก็จะเกิดความร่าเริงขึ้นอีก

ดังนั้นเราต้องประคองจิตผู้รู้ ทำกิจของการเข้ารู้ลมให้ถูก ตัวสำคัญที่สุด คือ รู้ด้วยจิตผู้รู้ คือ ต้องรู้ด้วยสติสัมปชัญญะ

เมื่อจิตผู้รู้ทำหน้าที่รู้ลมโผฏฐัพพารมณ์ อาการที่จิตผู้รู้เข้าไปรู้ลมนี้ แล่นแรกอันเป็นปฏิปทาที่เป็นกลางนี้ เรียกว่า เข้าสู่สมถะนิมิต เป็นจุดกระแสของฌาณ พอรู้คลอเข้าไป เกิดเป็นตะกอนของความตั้งมั่น กายนิ่ง ลมสงบระงับละเอียด จิตผู้รู้จะมีกำลังขึ้นมา ใช้ความรู้นั้นไปรู้ลมเบาๆตามความละเอียดของลมหายใจ เป็นการพอกพูนอุเบกขา

ถ้าลมหายใจแรกที่เราเข้าไปรู้ลมโผฏฐัพพารมณ์ ปลอดจากนิวรณ์ กิเลส กายจะเริ่มนิ่ง เมื่อรู้ตรงต่อเนื่องคลอไปเรื่อย จนลมโผฏฐัพพารมณ์หมด เพราะลมละเอียดจึงไม่เกิดการกระทบกับกายประสาท อันนี้เป็นอุเบกขาและเอกคัตตารมณ์ 100% กายจะนิ่ง อุเบกขา ความนิ่ง ความตั้งมั่น เป็นสิ่งที่เราเรียกหาไม่ได้ เขาจะเกิดขึ้นจากการที่เราทำเหตุให้ถูกต้อง

เราทุกคนมีฌาณทุกคน แต่สติสัมปชัญญะ จับฌาณนั้นไม่สม่ำเสมอ จึงพลุบๆโผล่เหมือนหัวเต่า

นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา อนารมฺมณเมกจิตฺตสฺส อชานโต จ ตโย ธมฺเม ภาวนา นุปลพฺภติ

ผู้ไม่รู้เรื่อง ๓ เรื่อง ไม่รู้ในนิมิต ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ว่า ๓ อย่างนี้ไม่เป็นอารมณ์ของจิตดวงเดียว จะภาวนาไม่ได้

พอรู้ ๓ เรื่องนี้ แล้วเราภาวนาไป น้อมจิตผู้รู้มาสู่นิมิต เห็นเลยว่า นิมิต จิตผู้รู้ ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ไม่ใช่เรา ล้วนแต่เป็นธรรมชาติของแต่ละอย่างไม่เป็นอารมณ์ของจิตดวงเดียว ความร่าเริงก็จะเกิด อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ยิ่งเราเคยลองผิดลองถูก ทำพลาดมาเยอะมากแล้วรู้ถูกขึ้นมา มันจะเกิดความร่าเริง เป็นทางของปิติที่จะเห็นชัดขึ้นมาได้

...more
View all episodesView all episodes
Download on the App Store

ฟังธรรมจากพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี)By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)