จริง ๆ แล้วพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยไม่เคยมองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือคู่ขัดแย้งหรือเป็นศัตรู จะเห็นได้ว่าหลังคำสั่ง 66/2523 ของรัฐบาลพลเอกเปรมฯ บรรดาคนของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ออกจากป่าหลายคนได้กลายมาเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” รวมทั้งแสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

อุดมการณ์สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยทุกยุคทุกสมัย คือการต่อสู้กับพวกทุนนิยมอย่างจักรวรรดินิยมต่างชาติ นายทุน และขุนศึกฟาสซิสม์ แม้แต่คณะราษฎรเองก็ยังถูกพรรคคอมมิวนิสต์ไทยกาหัวว่าเป็นขั้วตรงข้าม และโจมตีรัฐบาลคณะราษฎรมาโดยตลอด

แต่ในปัจจุบัน มีบางคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในไทย แต่กลับไปร่วมมือกับฝ่ายทุนนิยมเสียเอง แถมยังไปประจบสอพลอพวกนักการเมืองทุนนิยมอย่างออกนอกหน้า เรียกได้ว่าผิดวิสัยคอมมิวนิสต์แบบไม่น่าให้อภัย

ไม่ว่าจะเป็น ธง แจ่มศรี อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งเคยออกมาสนับสนุนและเข้าร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อยู่ใต้เงาของพรรคการเมืองทุนนิยมพรรคหนึ่งอย่างออกหน้าออกตา จนถูกตัดขาดแบบไม่นับญาติจากกลุ่มสหายคอมมิวนิสต์ที่เคยร่วมต่อสู้กันมา

หรือในกรณีของ สุรชัย แซ่ด่าน อดีตคอมมิวนิสต์ชื่อดังและอดีตนักโทษการเมืองหลายคดี ที่เคยประกาศจัดตั้งกลุ่ม “แดงสยาม” ขึ้น เพื่อเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2550

ซึ่งคนใกล้ชิดของสุรชัย ได้ออกมาเปิดเผยเองว่า การออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ของสุรชัย ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่ง

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ ว่าทำไมคนที่อ้างตัวว่าเป็นคอมมิวนิสต์ถึงหันไปรับใช้ทุนนิยมเสียเอง แถมยังเบนเป้าโจมตีมาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เคยเป็นคู่ขัดแย้งหลักกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยมาก่อนเลย

และก็ไม่รู้ว่าทำไมมันช่างบังเอิญเหลือเกิน ที่ในปัจจุบันมีคนบางกลุ่มพยายามปลุกแคมเปญคอมมิวนิสต์ขึ้นมา แล้วเอามาใช้โจมตี รวมทั้งสร้างความเข้าใจผิดๆ ให้คนเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นไปในแบบที่พวกเขาต้องการ