
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 ส.ค. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม.
โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
ทั้ง ๓ หมวด ทั้งหมวดกาย/เวทนา/จิตนี้ มันเป็นตัวสภาวะที่โผล่ขึ้นมากับพวกเราอยู่เรื่อยๆแล้ว วันนี้จะแนะต่อออกไปถึงหมวดที่ ๔ คือว่าเติมปัญญาลงไป เป็นการพิจารณาตั้งแต่ลม ตั้งแต่ลมยาว เช่นว่า เราหายใจเข้า หายใจออก ดูความไม่คงที่ของลมหายใจ เห็นถึงลมที่มันไม่คงที่ ในขณะที่พิจารณาอยู่อย่างนั้น จิตยังนิ่งอยู่ที่ฐานนะ พิจารณาลมนี้มันไม่คงที่เลย เดี๋ยวมันยาว เดี๋ยวมันสั้น เดี๋ยวมันหนัก เดี๋ยวมันเบา เดี๋ยวมันบาง เดี๋ยวมันนุ่ม เดี๋ยวมันตะกุกตะกัก เดี๋ยวมันหยาบ ความไม่คงที่ของลมหายใจที่เห็นเขาแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ลักษณะของลมหายใจที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงอย่างนี้แหละมันคือความไม่เที่ยง คือลมมันไม่เที่ยง
จิตนิ่งอยู่ข้างในสติพิจารณารายละเอียดของลมหายใจเข้าไป เห็นความไม่เที่ยงของลม ทําไมจึงไม่เที่ยง? เราก็ทําโยนิโสมนสิการพิจารณาในใจไปที่ลมในขณะที่เกิดขึ้น ในขณะนั้นน่ะเห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง พอมันเข้าไปสุดมันก็หยุด พอมันเกิด ตั้งแต่ต้นลมมันเกิดขึ้นปั๊บ ตอนที่หายใจเข้าไป เข้าไปสู่เนื้อลมของมันได้ เราเห็นความหนา/ความเบา/ความบางที่แตกต่าง ไม่คงที่ ไม่แน่นิ่ง และก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพตามเหตุตามปัจจัยของมันเอง แล้วมันก็จบดับไปแต่ละครั้ง แต่ละครั้ง แต่ละครั้ง ทั้งลมเข้าและลมออก พิจารณาอย่างนี้ซ้ำซากจนกระทั่งรู้ได้แก่ใจว่าลมนี้มันไม่เที่ยง นี่เห็นความไม่เที่ยงของลมหายใจ
ต่อมาก็ทําการพิจารณากาย กายที่มันนั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินก็ดี เห็นสภาพของกายที่มันไม่คงที่ ที่มันไม่มั่นคง ที่มันไม่ถาวร ที่มันเสื่อม เห็นภาพของรูปทั้งหมดเป็นอนิจจัง แม้แต่ร่างกายของเราอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งภายนอกภายใน มันไม่มีอันใดที่มันคงที่ คงทน แน่วแน่หรือเที่ยง แต่ละสิ่งแต่ละอย่างมีแต่จะเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน
พิจารณาอยู่อย่างนี้แหละ ในขณะจิตที่นิ่งอยู่ที่ฐาน มีสติสัมปชัญญะไปพิจารณากาย เห็นจนกระทั่งลมก็ดี กายทั้งกายนี้ก็ดี มันไม่ใช่อย่างอื่นหรอก มันเป็นเพียงแค่ความไม่เที่ยง เห็นรวมชัดอย่างนี้แล้วสรุปลงไปได้เลยว่ารูปมันไม่เที่ยง แม้ว่าความรู้สึกที่เป็นความรู้สึกเป็นสุข ความรู้สึกสบาย ความรู้สึกดี ความรู้สึกไม่ดี ความรู้สึกเป็นทุกข์ ความรู้สึกไม่สบาย หรือว่าความรู้สึกที่มันเฉยๆอยู่ ความรู้สึกเหล่านี้ก็เกิดจากเหตุจากปัจจัย คงตัวคงที่อยู่แป๊บเดียวแล้วมันก็จะเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไป ในที่สุดมันก็หายไป แล้วก็เกิดเหตุปัจจัยขึ้นมาใหม่ ตกแต่งให้มันเกิดความรู้สึกเป็นสุขอีก
พอมันพิจารณาอย่างนี้จนมันลงใจได้ว่ามันไม่เที่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะต้องพิจารณาในขณะที่มันเกิดความสุข มันไม่ใช่มโนหรือสมมติยกจินตนาการเอาความสุขเอาเวทนาขึ้นมาแล้วมาพิจารณา ไม่ใช่ ต้องพิจารณาตอนที่มีเวทนาเกิดจริงนะ ที่ความทุกข์เกิด ที่ความสุขเกิด หรือสภาวะที่มันเฉยๆเกิด ถ้ามองเห็นได้ แต่ส่วนใหญ่เราจะเห็นความทุกข์ก่อน เห็นความทุกข์ เห็นความสุข เห็นความสุขก็เอาความสุขที่เกิดนั่นแหละมาพิจารณา ถ้ามันเห็นในตัวสุขนั้นเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไป เห็นตัวทุกข์ที่เกิด ณ ขณะจิตนั้นเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไป แล้วก็สรุปมันลงไปเลยได้ว่ามันไม่เที่ยงอย่างนี้ สรุปว่าเวทนามันไม่เที่ยง ซึ่งการพิจารณาอย่างนี้มันพิจารณาในขณะจิตที่ตั้งมั่นมีสติรู้อยู่ในตัวสภาวะทั้งหมด อันนี้เรียกว่าเติมปัญญาให้กับจิตเพื่อที่จะต่อยอดให้กับจิตเข้าสู่หมวดธัมมานุปัสสนาของอานาปานสติ
องค์ความรู้ที่เกิดจากพินิจพิจารณาก็ตกมาเป็นปัญญาให้กับจิต อันนี้มันจะเป็นทางที่จะเสริมธรรมเสริมปัญญาให้กับจิตในการที่จะดูตัวสภาวะทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า เติมปัญญาให้กับความตั้งมั่น แต่การทําดังนี้เราจะต้องควรใช้ในตอนที่จิตมันคิด หมายความว่าในชีวิตจริง ในชีวิตจริงที่เรานั่งว่างๆอยู่นี่ ไม่ใช่ในทางการปฏิบัติเจริญอานาปานสติในรูปแบบ ถ้าในรูปแบบเราก็นั่งรู้ตรงไปเรื่อยๆ ตรงไปเรื่อยๆ ตรงไปเรื่อยๆ ตรงไปเรื่อยๆ ตรงไปเรื่อยๆตามกิจ แต่ถ้าพอออกจากรูปแบบแล้วมาสู่ในชีวิตจริง มันจะต้องเปิดจังหวะให้จิตได้มีโอกาสพิจารณาอย่างนี้ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ให้เห็นว่าตัวเรานี้เป็นอนิจจัง พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ที่มันจับได้ ถึงจิตถึงใจของเราได้ อนิจจสัญญาก็จะปรากฏ แต่ต้องเปิดให้ใจได้มีประสบการณ์ในการพิจารณาถึงความไม่เที่ยงอย่างจริงจัง
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน
#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 ส.ค. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม.
โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
ทั้ง ๓ หมวด ทั้งหมวดกาย/เวทนา/จิตนี้ มันเป็นตัวสภาวะที่โผล่ขึ้นมากับพวกเราอยู่เรื่อยๆแล้ว วันนี้จะแนะต่อออกไปถึงหมวดที่ ๔ คือว่าเติมปัญญาลงไป เป็นการพิจารณาตั้งแต่ลม ตั้งแต่ลมยาว เช่นว่า เราหายใจเข้า หายใจออก ดูความไม่คงที่ของลมหายใจ เห็นถึงลมที่มันไม่คงที่ ในขณะที่พิจารณาอยู่อย่างนั้น จิตยังนิ่งอยู่ที่ฐานนะ พิจารณาลมนี้มันไม่คงที่เลย เดี๋ยวมันยาว เดี๋ยวมันสั้น เดี๋ยวมันหนัก เดี๋ยวมันเบา เดี๋ยวมันบาง เดี๋ยวมันนุ่ม เดี๋ยวมันตะกุกตะกัก เดี๋ยวมันหยาบ ความไม่คงที่ของลมหายใจที่เห็นเขาแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ลักษณะของลมหายใจที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงอย่างนี้แหละมันคือความไม่เที่ยง คือลมมันไม่เที่ยง
จิตนิ่งอยู่ข้างในสติพิจารณารายละเอียดของลมหายใจเข้าไป เห็นความไม่เที่ยงของลม ทําไมจึงไม่เที่ยง? เราก็ทําโยนิโสมนสิการพิจารณาในใจไปที่ลมในขณะที่เกิดขึ้น ในขณะนั้นน่ะเห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง พอมันเข้าไปสุดมันก็หยุด พอมันเกิด ตั้งแต่ต้นลมมันเกิดขึ้นปั๊บ ตอนที่หายใจเข้าไป เข้าไปสู่เนื้อลมของมันได้ เราเห็นความหนา/ความเบา/ความบางที่แตกต่าง ไม่คงที่ ไม่แน่นิ่ง และก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพตามเหตุตามปัจจัยของมันเอง แล้วมันก็จบดับไปแต่ละครั้ง แต่ละครั้ง แต่ละครั้ง ทั้งลมเข้าและลมออก พิจารณาอย่างนี้ซ้ำซากจนกระทั่งรู้ได้แก่ใจว่าลมนี้มันไม่เที่ยง นี่เห็นความไม่เที่ยงของลมหายใจ
ต่อมาก็ทําการพิจารณากาย กายที่มันนั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินก็ดี เห็นสภาพของกายที่มันไม่คงที่ ที่มันไม่มั่นคง ที่มันไม่ถาวร ที่มันเสื่อม เห็นภาพของรูปทั้งหมดเป็นอนิจจัง แม้แต่ร่างกายของเราอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งภายนอกภายใน มันไม่มีอันใดที่มันคงที่ คงทน แน่วแน่หรือเที่ยง แต่ละสิ่งแต่ละอย่างมีแต่จะเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน
พิจารณาอยู่อย่างนี้แหละ ในขณะจิตที่นิ่งอยู่ที่ฐาน มีสติสัมปชัญญะไปพิจารณากาย เห็นจนกระทั่งลมก็ดี กายทั้งกายนี้ก็ดี มันไม่ใช่อย่างอื่นหรอก มันเป็นเพียงแค่ความไม่เที่ยง เห็นรวมชัดอย่างนี้แล้วสรุปลงไปได้เลยว่ารูปมันไม่เที่ยง แม้ว่าความรู้สึกที่เป็นความรู้สึกเป็นสุข ความรู้สึกสบาย ความรู้สึกดี ความรู้สึกไม่ดี ความรู้สึกเป็นทุกข์ ความรู้สึกไม่สบาย หรือว่าความรู้สึกที่มันเฉยๆอยู่ ความรู้สึกเหล่านี้ก็เกิดจากเหตุจากปัจจัย คงตัวคงที่อยู่แป๊บเดียวแล้วมันก็จะเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไป ในที่สุดมันก็หายไป แล้วก็เกิดเหตุปัจจัยขึ้นมาใหม่ ตกแต่งให้มันเกิดความรู้สึกเป็นสุขอีก
พอมันพิจารณาอย่างนี้จนมันลงใจได้ว่ามันไม่เที่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะต้องพิจารณาในขณะที่มันเกิดความสุข มันไม่ใช่มโนหรือสมมติยกจินตนาการเอาความสุขเอาเวทนาขึ้นมาแล้วมาพิจารณา ไม่ใช่ ต้องพิจารณาตอนที่มีเวทนาเกิดจริงนะ ที่ความทุกข์เกิด ที่ความสุขเกิด หรือสภาวะที่มันเฉยๆเกิด ถ้ามองเห็นได้ แต่ส่วนใหญ่เราจะเห็นความทุกข์ก่อน เห็นความทุกข์ เห็นความสุข เห็นความสุขก็เอาความสุขที่เกิดนั่นแหละมาพิจารณา ถ้ามันเห็นในตัวสุขนั้นเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไป เห็นตัวทุกข์ที่เกิด ณ ขณะจิตนั้นเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไป แล้วก็สรุปมันลงไปเลยได้ว่ามันไม่เที่ยงอย่างนี้ สรุปว่าเวทนามันไม่เที่ยง ซึ่งการพิจารณาอย่างนี้มันพิจารณาในขณะจิตที่ตั้งมั่นมีสติรู้อยู่ในตัวสภาวะทั้งหมด อันนี้เรียกว่าเติมปัญญาให้กับจิตเพื่อที่จะต่อยอดให้กับจิตเข้าสู่หมวดธัมมานุปัสสนาของอานาปานสติ
องค์ความรู้ที่เกิดจากพินิจพิจารณาก็ตกมาเป็นปัญญาให้กับจิต อันนี้มันจะเป็นทางที่จะเสริมธรรมเสริมปัญญาให้กับจิตในการที่จะดูตัวสภาวะทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า เติมปัญญาให้กับความตั้งมั่น แต่การทําดังนี้เราจะต้องควรใช้ในตอนที่จิตมันคิด หมายความว่าในชีวิตจริง ในชีวิตจริงที่เรานั่งว่างๆอยู่นี่ ไม่ใช่ในทางการปฏิบัติเจริญอานาปานสติในรูปแบบ ถ้าในรูปแบบเราก็นั่งรู้ตรงไปเรื่อยๆ ตรงไปเรื่อยๆ ตรงไปเรื่อยๆ ตรงไปเรื่อยๆ ตรงไปเรื่อยๆตามกิจ แต่ถ้าพอออกจากรูปแบบแล้วมาสู่ในชีวิตจริง มันจะต้องเปิดจังหวะให้จิตได้มีโอกาสพิจารณาอย่างนี้ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ให้เห็นว่าตัวเรานี้เป็นอนิจจัง พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ที่มันจับได้ ถึงจิตถึงใจของเราได้ อนิจจสัญญาก็จะปรากฏ แต่ต้องเปิดให้ใจได้มีประสบการณ์ในการพิจารณาถึงความไม่เที่ยงอย่างจริงจัง
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน
#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร