
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
ในขณะที่จิตเขาตั้งมั่น มีสภาวะอะไรปรากฏ ก็รู้สภาวะนั้นตามความเป็นจริง การรู้สภาวะนั้นตามความเป็นจริงมันไล่ไปหมดเลย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า
อานาปานสติเมื่อบําเพ็ญแล้ว จะทําให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์
สติปัฏฐาน ๔ เมื่อบําเพ็ญแล้ว จะทําให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์
ลักษณะที่มันเป็นโพชฌงค์ ๗ ก็คือ สภาวะจิตที่มันพัฒนาขึ้นมาเป็นลําดับ เราไม่จําเป็นต้องรู้โพชฌงค์ก็ได้ ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าพอเราไม่จําเป็นต้องรู้โพชฌงค์ก็ได้ แค่รู้เห็นตามความเป็นจริงของมัน ไม่ไหลเข้าไปในสภาวะใดๆเลย ดูตรงๆตามความเป็นจริงที่มันเกิด ที่มันปรากฏ มันเป็นอย่างไรก็รู้ รู้ รู้ รู้ ในที่สุดมันก็ดับไป รู้ รู้ รู้ ในการรู้อย่างนี้ สภาวะนี้จะมีกําลังของโพชฌงค์ขึ้นมาเป็นลําดับ ตั้งแต่สติสัมโพชฌงค์ไปจนถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ จากการรู้ลมหายใจนั้น เมื่อกําลังของโพชฌงค์โตเต็มที่ สติก็ไม่เผลอเรอ ธัมมวิจยก็สืบค้นตรงๆ กําลังของความเพียรก็มีฉันทะลงเต็ม ปีติก็เกิด ปีติมันก็เกิดเป็นธรรมชาติ แล้วก็สงบตัวไป การสงบตัวของปีติก็เป็นปัสสัทธิ ปัสสัทธิมันเป็นชื่อศัพท์เรียก แท้ที่จริงมันคือการสงบตัวลงของปีติ แล้วมันก็เกิดเป็นความสุข เป็นความสุขจิตที่มันหยุดการปรุงแต่งทั้งหมด จิตที่เป็นทุกข์คือจิตที่มันปรุงแต่ง พอมันหยุดการปรุงแต่งมันก็สุข เป็นสุขอยู่ในบริบทของการหยุดจากการปรุงแต่ง พอมันสุขอย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่าสุขเป็นปัจจัยแห่งสมาธิ ความตั้งมั่นของจิตมันจึงชัดเจนขึ้น สมาธิตอนนั้นเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ พอสมาธิสัมโพชฌงค์มีกําลังขึ้นมา ที่เหลือจะเป็นอะไร? ในเมื่อมันไม่มีการปรุงแต่ง มันหยุดการปรุงแต่ง ความตั้งมั่นที่ไม่มีการปรุงแต่งโดยเด็ดขาด มันก็จะนิ่งเฉยอย่างเด็ดขาดเหมือนกัน นั่นเรียกว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ดังนั้นตั้งแต่สติมาจนถึงอุเบกขา กําลังของสภาพจิตที่มันเกิดขึ้นจากการภาวนาของพวกเราอย่างตรงๆอย่างนี้ มันก็ทําให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ พอโพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ สภาวะจิต ณ ขณะนั้นมันก็ตื่นขึ้นมาจากการยึดถือทั้งหมด ตื่นขึ้นมาจากการปรุงแต่งทั้งหมด ตื่นขึ้นมาจากความหลง ที่มันไหลเข้าไปในสิ่งต่างๆทั้งหมด อยู่กับทุกอย่างแต่ไม่ไหลเข้าไปด้วยอํานาจของอวิชชาและความหลง จับทุกอย่างแต่ไม่ได้อยู่ด้วยตัณหาอุปาทาน อันนี้เรียกว่าตื่น พอตื่นแล้วมันก็พ้น พ้นจากการปรุงแต่งทั้งหมด ไม่อยู่ในอํานาจของการปรุงแต่งเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการที่เราพยายามเข้าไปทํามัน แต่มันเกิดขึ้นจากการพัฒนา เรียกว่า เกิดขึ้นจากการเจริญขึ้นของความตั้งมั่นที่เป็นไปตามลําดับ
แล้วคิดหรือเปล่าว่าที่เราเดินทางเข้าไปนี้ เมื่อเราตายแล้วมันยังจะไหลไปไหม เมื่อชีวิตนี้แตกสลายจิตจะไหลออกไปไหม? ขนาดว่าเรารู้ลมอยู่มันยังไหลออกไปเลย เรารู้ลมอยู่นี่มันยังไหลออกไป เราเดินอยู่นี่ เรารู้การก้าวการเดินมันยังไหลออกไป เราตักอาหารใส่ปากมันยังไหลออกไปเลย แล้วคิดหรือเปล่าว่า เราตายแล้วมันจะอยู่ มันจะไหลออกมา เราคิดว่าตายแล้วมันจะไม่ไหลเหรอ มันก็ไหลออกไปอยู่ดีตราบใดที่เราไม่มีอุบายที่เด็ดขาดพอในการที่จะให้มันหยุดไหล แล้วถ้าไหลออกไป มันไปแบบไหน? อย่างตาเห็นปั๊บ มันไหลออกไปชอบไหลออกไปไม่ชอบ หูได้ยิน ไหลออกไปชอบไหลออกไปไม่ชอบ จมูกได้กลิ่น ไหลออกไปชอบไหลออกไปไม่ชอบ อยู่นิ่งๆเฉยๆ อดีตผุดอนาคตโผล่ มันก็ไหลออกไปชอบไหลออกไปไม่ชอบ เพราะฉะนั้นมันต้องไหลไปเสวยอารมณ์ของมันอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเมื่อกายนี่มันแตกสลาย มันอาศัยกายไม่ได้มันก็ไหล ไหลตามอํานาจของสัญญาที่มันบ่มเพาะอยู่ แต่จิตที่ตั้งมั่น จุดที่พระพุทธเจ้าที่เรียกว่า สพฺพกมฺมกฺขยปตฺโต หมายความว่า จุดที่ถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งพฤติกรรมของการไหลไปของจิตทั้งหมด ตัวที่มันตั้งมั่น
เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้นับภพนับชาติไม่ถ้วน ทุกข์ กองกระดูกเป็นภูเขา น้ำตาเป็นมหาสมุทร เราเชื่อหรือไม่เชื่อเราก็มาดูตรงนี้ ดูตรงจุดที่เราแค่รู้ลม โอ้ยเดี๋ยวมันไหลไปตรงโน้น เดี๋ยวมันไหลไปตรงนี้ เดี๋ยวมันเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวมันเป็นอย่างนี้ มันไปเรื่อย แค่ลมรู้ลมอยู่มันยังไหลเลย แล้วถ้าเราตายไปกายนี้แตกสลายไป มันมีหรอที่มันจะไม่ไหลไป มีเหรอที่มันจะไม่ไหลไป ไหลแล้วไปไหน? ก็ไปที่ใดที่หนึ่งแหละ แต่ที่แน่ๆมันไหลไปเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถเข้ามาสู่การปรุงแต่งได้อีก ไหลอยู่อย่างนี้แหละ
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
ในขณะที่จิตเขาตั้งมั่น มีสภาวะอะไรปรากฏ ก็รู้สภาวะนั้นตามความเป็นจริง การรู้สภาวะนั้นตามความเป็นจริงมันไล่ไปหมดเลย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า
อานาปานสติเมื่อบําเพ็ญแล้ว จะทําให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์
สติปัฏฐาน ๔ เมื่อบําเพ็ญแล้ว จะทําให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์
ลักษณะที่มันเป็นโพชฌงค์ ๗ ก็คือ สภาวะจิตที่มันพัฒนาขึ้นมาเป็นลําดับ เราไม่จําเป็นต้องรู้โพชฌงค์ก็ได้ ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าพอเราไม่จําเป็นต้องรู้โพชฌงค์ก็ได้ แค่รู้เห็นตามความเป็นจริงของมัน ไม่ไหลเข้าไปในสภาวะใดๆเลย ดูตรงๆตามความเป็นจริงที่มันเกิด ที่มันปรากฏ มันเป็นอย่างไรก็รู้ รู้ รู้ รู้ ในที่สุดมันก็ดับไป รู้ รู้ รู้ ในการรู้อย่างนี้ สภาวะนี้จะมีกําลังของโพชฌงค์ขึ้นมาเป็นลําดับ ตั้งแต่สติสัมโพชฌงค์ไปจนถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ จากการรู้ลมหายใจนั้น เมื่อกําลังของโพชฌงค์โตเต็มที่ สติก็ไม่เผลอเรอ ธัมมวิจยก็สืบค้นตรงๆ กําลังของความเพียรก็มีฉันทะลงเต็ม ปีติก็เกิด ปีติมันก็เกิดเป็นธรรมชาติ แล้วก็สงบตัวไป การสงบตัวของปีติก็เป็นปัสสัทธิ ปัสสัทธิมันเป็นชื่อศัพท์เรียก แท้ที่จริงมันคือการสงบตัวลงของปีติ แล้วมันก็เกิดเป็นความสุข เป็นความสุขจิตที่มันหยุดการปรุงแต่งทั้งหมด จิตที่เป็นทุกข์คือจิตที่มันปรุงแต่ง พอมันหยุดการปรุงแต่งมันก็สุข เป็นสุขอยู่ในบริบทของการหยุดจากการปรุงแต่ง พอมันสุขอย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่าสุขเป็นปัจจัยแห่งสมาธิ ความตั้งมั่นของจิตมันจึงชัดเจนขึ้น สมาธิตอนนั้นเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ พอสมาธิสัมโพชฌงค์มีกําลังขึ้นมา ที่เหลือจะเป็นอะไร? ในเมื่อมันไม่มีการปรุงแต่ง มันหยุดการปรุงแต่ง ความตั้งมั่นที่ไม่มีการปรุงแต่งโดยเด็ดขาด มันก็จะนิ่งเฉยอย่างเด็ดขาดเหมือนกัน นั่นเรียกว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ดังนั้นตั้งแต่สติมาจนถึงอุเบกขา กําลังของสภาพจิตที่มันเกิดขึ้นจากการภาวนาของพวกเราอย่างตรงๆอย่างนี้ มันก็ทําให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ พอโพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ สภาวะจิต ณ ขณะนั้นมันก็ตื่นขึ้นมาจากการยึดถือทั้งหมด ตื่นขึ้นมาจากการปรุงแต่งทั้งหมด ตื่นขึ้นมาจากความหลง ที่มันไหลเข้าไปในสิ่งต่างๆทั้งหมด อยู่กับทุกอย่างแต่ไม่ไหลเข้าไปด้วยอํานาจของอวิชชาและความหลง จับทุกอย่างแต่ไม่ได้อยู่ด้วยตัณหาอุปาทาน อันนี้เรียกว่าตื่น พอตื่นแล้วมันก็พ้น พ้นจากการปรุงแต่งทั้งหมด ไม่อยู่ในอํานาจของการปรุงแต่งเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการที่เราพยายามเข้าไปทํามัน แต่มันเกิดขึ้นจากการพัฒนา เรียกว่า เกิดขึ้นจากการเจริญขึ้นของความตั้งมั่นที่เป็นไปตามลําดับ
แล้วคิดหรือเปล่าว่าที่เราเดินทางเข้าไปนี้ เมื่อเราตายแล้วมันยังจะไหลไปไหม เมื่อชีวิตนี้แตกสลายจิตจะไหลออกไปไหม? ขนาดว่าเรารู้ลมอยู่มันยังไหลออกไปเลย เรารู้ลมอยู่นี่มันยังไหลออกไป เราเดินอยู่นี่ เรารู้การก้าวการเดินมันยังไหลออกไป เราตักอาหารใส่ปากมันยังไหลออกไปเลย แล้วคิดหรือเปล่าว่า เราตายแล้วมันจะอยู่ มันจะไหลออกมา เราคิดว่าตายแล้วมันจะไม่ไหลเหรอ มันก็ไหลออกไปอยู่ดีตราบใดที่เราไม่มีอุบายที่เด็ดขาดพอในการที่จะให้มันหยุดไหล แล้วถ้าไหลออกไป มันไปแบบไหน? อย่างตาเห็นปั๊บ มันไหลออกไปชอบไหลออกไปไม่ชอบ หูได้ยิน ไหลออกไปชอบไหลออกไปไม่ชอบ จมูกได้กลิ่น ไหลออกไปชอบไหลออกไปไม่ชอบ อยู่นิ่งๆเฉยๆ อดีตผุดอนาคตโผล่ มันก็ไหลออกไปชอบไหลออกไปไม่ชอบ เพราะฉะนั้นมันต้องไหลไปเสวยอารมณ์ของมันอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเมื่อกายนี่มันแตกสลาย มันอาศัยกายไม่ได้มันก็ไหล ไหลตามอํานาจของสัญญาที่มันบ่มเพาะอยู่ แต่จิตที่ตั้งมั่น จุดที่พระพุทธเจ้าที่เรียกว่า สพฺพกมฺมกฺขยปตฺโต หมายความว่า จุดที่ถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งพฤติกรรมของการไหลไปของจิตทั้งหมด ตัวที่มันตั้งมั่น
เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้นับภพนับชาติไม่ถ้วน ทุกข์ กองกระดูกเป็นภูเขา น้ำตาเป็นมหาสมุทร เราเชื่อหรือไม่เชื่อเราก็มาดูตรงนี้ ดูตรงจุดที่เราแค่รู้ลม โอ้ยเดี๋ยวมันไหลไปตรงโน้น เดี๋ยวมันไหลไปตรงนี้ เดี๋ยวมันเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวมันเป็นอย่างนี้ มันไปเรื่อย แค่ลมรู้ลมอยู่มันยังไหลเลย แล้วถ้าเราตายไปกายนี้แตกสลายไป มันมีหรอที่มันจะไม่ไหลไป มีเหรอที่มันจะไม่ไหลไป ไหลแล้วไปไหน? ก็ไปที่ใดที่หนึ่งแหละ แต่ที่แน่ๆมันไหลไปเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถเข้ามาสู่การปรุงแต่งได้อีก ไหลอยู่อย่างนี้แหละ
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร