
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขโณ โว มา อุปจฺจคา อย่าให้เวลามันล่วงเราไปเฉยๆเลย อย่าประมาทกันเลย อย่างน้อยที่สุด เวลาที่จะล่วงไปนั้น ให้มันผ่านไปด้วยการทําโยนิโสมนสิการว่า สรรพสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ล้วนแต่ตกอยู่ในใต้กฎ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เวลาในขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง ถ้ามันไม่ได้อะไรแล้ว ขอให้มันล่วงไปด้วยความรู้สึกอย่างนี้ มันก็จะตกผลึกเป็นสัจจะ เป็นสัจธรรมในใจของคนที่พิจารณา หรือไม่ก็
อย่าให้ขณะนั้นมันล่วงไปพร้อมกับการเกิดและดับของอกุศลในหนึ่งขณะจิต
พระพุทธเจ้าย้ำเสมอว่า
เราจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็ตาม ความคิดอันเป็นบาปเป็นอกุศลที่มันเกิดขึ้น ที่อาศัยกายเกิดขึ้น แต่ละขณะจิต ความคิดอันนั้น บาปอกุศลอันนั้น ในหนึ่งขณะจิต มันจะสะสม แล้วก็ทําให้จิตนี้หมกมุ่นชุ่มแช่อยู่กับอารมณ์ที่ปรุงมาจากโมหะ ถ้าเราปล่อยให้ขณะจิตมันเกิดอกุศล และกลืนกินไปแต่ละขณะจิต มันจะทําให้จิตนี้ตกอยู่ในอํานาจของโมหะ เรียกว่า หมกมุ่นอยู่ในอารมณ์อันเป็นขี้ข้าของโมหะ ถ้าเมื่อใดที่ให้อกุศลมันเกิด แล้วก็ผ่านไปในห้วงแห่งเวลาในหนึ่งขณะจิต นั่นหมายความว่า กําแพงของโมหะก็จะพอกพูนขึ้น
วิตกฺกํ วิตกฺเกติ ปาปกํ เคหนิสฺสิตํ
ความคิดอันเป็นบาปที่อาศัยกายนี้เกิดขึ้น
กุมฺมคฺคํ ปฏิปนฺโน โส
ว่านั่นเป็นทางผิด เป็นความประมาท เป็นการปล่อยให้เวลาล่วงไปอย่างประมาท
โมหเนยฺเยสุ มุจฺฉิโต
มันเป็นการปล่อยให้ใจจมอยู่กับอารมณ์ของโมหะ และมันก็จะเพิ่มขึ้นๆ
อภพฺโพ ตาทิโส ผู้ที่เป็นเช่นนั้น มันไม่เพียงพอ คือ เหตุไม่พอหรือว่าไม่สมควร
ผุฏฺฐุํ สมฺโพธิมุตฺ
ในการที่จะเข้าสู่ในเส้นทางที่ชื่อว่า สัมโพธิมุต คือ การที่จะพลิกจิตเข้าไปสู่วิชชานั่นเอง
และท่านกล่าวย้ำว่า เราจะยืน จะเดิน จะนั่ง หรือนอนก็ตาม
วิตกฺกํ สมยิตฺวาน
ความคิดอันเป็นบาปอันใดที่เกิดขึ้น ให้ดูความคิดอันเป็นบาปนั้นละลายไปต่อหน้าต่อตา ละลายไปต่อหน้าต่อตาของสติ ละลายไปต่อหน้าต่อตาของความตั้งมั่นในหนึ่งขณะจิต ถ้าเป็นอย่างนั้น
วิตกฺกูปสเม รโต
จิตจะเกิดธรรมฉันทะ คือ เกิดความยินดีในความสงบที่อกุศลมันดับไปจากจิต ในหนึ่งขณะจิตนั้นๆ นี่มันเก็บเกี่ยวสะสมเป็นเรื่องของสติที่บริสุทธิ์ แล้วก็จะบ่ม ถ้าเป็นอย่างนั้นมันยิ่งทําให้จิตเข้าสู่ฐานที่มีความตั้งมั่นอยู่ในกายเพิ่มขึ้น
ภพฺโพ โส ตาทิโส ภิกฺขุ
บุคคลเช่นนั้น
ผุฏฺฐุํ สมฺโพธิมุตฺตมํ
เป็นผู้ที่มีเหตุเพียงพอ หรือเป็นผู้ที่สมควรในการเข้าสู่เส้นทางของสัมโพธิมุต
ในเรื่องของเวลาจึงเป็นสิ่งที่สําคัญ แม้แต่หนึ่งขณะจิต
ไม่ควรที่จะปล่อยให้มันล่วงไปเฉยๆ ถ้าล่วงไปเฉยๆนี่ก็ประมาทแล้ว เพราะจิตมันไม่เฉยด้วยในหนึ่งขณะจิต นอกเหนือจากมันไม่ล่วงไปเฉยๆแล้ว มันยังกลืนกินชีวิตของเรา กลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์ไปทุกขณะ ห้วงเวลาแห่งชีวิตที่มีอยู่ ก็ถูกเวลามันกลืนกินไปเรื่อยๆ ถ้าใครก็ตามที่ปล่อยให้เวลามันกลืนกิน ห้วงแห่งวัย หรืออายุ หรือชีวิตของตนแต่ละขณะ มันถือว่าเป็นความประมาท
พระพุทธเจ้าเลยให้ว่า ให้พิจารณาในหนึ่งขณะจิต อย่างน้อยให้ได้มีโยนิโสมนสิการว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น หรือไม่ก็ให้คิด ๓ ประการ พิจารณาลงไปละเอียดว่า รูปนามกายใจนี้ ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรแก่การที่จะเข้าไปยึดถือสิ่งใดๆเลย หาสาระแก่นสารในรูปในนามนี้ ไม่มี พิจารณาแบบนี้
หรือ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ปล่อยให้อกุศลมันเกิดขึ้นในขณะจิต ในห้วงของเวลาหนึ่ง ที่มันเกิดแล้วก็ดับไปด้วยความเป็นอกุศล เพราะอกุศลที่เกิดขึ้นในขณะจิตมันจะเก็บเกี่ยว จะตกตะกอนอยู่ที่จิต จะพอกพูนโมหะและอวิชชา นั่นหมายความว่า ถ้าเราอยู่ในหลุมโคลนแห่งความทุกข์ ถ้าเราไม่ประมาท เราก็จะอยู่บนพื้นผิวของมัน แต่ถ้าเราปล่อยให้อกุศลเกิดแต่ละขณะจิต แล้วก็ดับไปด้วยความไม่รู้ มันก็จะพอกพูนโมหะ นั่นเรียกว่า ดําดิ่งลงก้นบ่อของหลุมโคลน มันยิ่งทําให้เกลียวของความเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะทุกข์นี้ ยิ่งมีกําลังแข็งแรง เรียกว่า เชือกเกลียวแห่งความทุกข์จะรัดรึงจิตนี้ ให้จมปลักอยู่ในห้วงของความทุกข์อีกยาวนาน
คุณค่าของชีวิตอยู่ที่การให้ความสําคัญต่อเวลา
ในขณะที่เป็นปัจจุบันของชีวิตนี้ ไม่ควรปล่อยให้ขณะนั้นเป็นอกุศลที่เป็นอาหารของอวิชชา
สภาพธรรมใดที่ปรากฏในสภาพธรรมนั้น ให้รู้ชัดในสภาพธรรมนั้น นี่คือหลักของการภาวนา
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พุทธศาสนา
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขโณ โว มา อุปจฺจคา อย่าให้เวลามันล่วงเราไปเฉยๆเลย อย่าประมาทกันเลย อย่างน้อยที่สุด เวลาที่จะล่วงไปนั้น ให้มันผ่านไปด้วยการทําโยนิโสมนสิการว่า สรรพสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ล้วนแต่ตกอยู่ในใต้กฎ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เวลาในขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง ถ้ามันไม่ได้อะไรแล้ว ขอให้มันล่วงไปด้วยความรู้สึกอย่างนี้ มันก็จะตกผลึกเป็นสัจจะ เป็นสัจธรรมในใจของคนที่พิจารณา หรือไม่ก็
อย่าให้ขณะนั้นมันล่วงไปพร้อมกับการเกิดและดับของอกุศลในหนึ่งขณะจิต
พระพุทธเจ้าย้ำเสมอว่า
เราจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็ตาม ความคิดอันเป็นบาปเป็นอกุศลที่มันเกิดขึ้น ที่อาศัยกายเกิดขึ้น แต่ละขณะจิต ความคิดอันนั้น บาปอกุศลอันนั้น ในหนึ่งขณะจิต มันจะสะสม แล้วก็ทําให้จิตนี้หมกมุ่นชุ่มแช่อยู่กับอารมณ์ที่ปรุงมาจากโมหะ ถ้าเราปล่อยให้ขณะจิตมันเกิดอกุศล และกลืนกินไปแต่ละขณะจิต มันจะทําให้จิตนี้ตกอยู่ในอํานาจของโมหะ เรียกว่า หมกมุ่นอยู่ในอารมณ์อันเป็นขี้ข้าของโมหะ ถ้าเมื่อใดที่ให้อกุศลมันเกิด แล้วก็ผ่านไปในห้วงแห่งเวลาในหนึ่งขณะจิต นั่นหมายความว่า กําแพงของโมหะก็จะพอกพูนขึ้น
วิตกฺกํ วิตกฺเกติ ปาปกํ เคหนิสฺสิตํ
ความคิดอันเป็นบาปที่อาศัยกายนี้เกิดขึ้น
กุมฺมคฺคํ ปฏิปนฺโน โส
ว่านั่นเป็นทางผิด เป็นความประมาท เป็นการปล่อยให้เวลาล่วงไปอย่างประมาท
โมหเนยฺเยสุ มุจฺฉิโต
มันเป็นการปล่อยให้ใจจมอยู่กับอารมณ์ของโมหะ และมันก็จะเพิ่มขึ้นๆ
อภพฺโพ ตาทิโส ผู้ที่เป็นเช่นนั้น มันไม่เพียงพอ คือ เหตุไม่พอหรือว่าไม่สมควร
ผุฏฺฐุํ สมฺโพธิมุตฺ
ในการที่จะเข้าสู่ในเส้นทางที่ชื่อว่า สัมโพธิมุต คือ การที่จะพลิกจิตเข้าไปสู่วิชชานั่นเอง
และท่านกล่าวย้ำว่า เราจะยืน จะเดิน จะนั่ง หรือนอนก็ตาม
วิตกฺกํ สมยิตฺวาน
ความคิดอันเป็นบาปอันใดที่เกิดขึ้น ให้ดูความคิดอันเป็นบาปนั้นละลายไปต่อหน้าต่อตา ละลายไปต่อหน้าต่อตาของสติ ละลายไปต่อหน้าต่อตาของความตั้งมั่นในหนึ่งขณะจิต ถ้าเป็นอย่างนั้น
วิตกฺกูปสเม รโต
จิตจะเกิดธรรมฉันทะ คือ เกิดความยินดีในความสงบที่อกุศลมันดับไปจากจิต ในหนึ่งขณะจิตนั้นๆ นี่มันเก็บเกี่ยวสะสมเป็นเรื่องของสติที่บริสุทธิ์ แล้วก็จะบ่ม ถ้าเป็นอย่างนั้นมันยิ่งทําให้จิตเข้าสู่ฐานที่มีความตั้งมั่นอยู่ในกายเพิ่มขึ้น
ภพฺโพ โส ตาทิโส ภิกฺขุ
บุคคลเช่นนั้น
ผุฏฺฐุํ สมฺโพธิมุตฺตมํ
เป็นผู้ที่มีเหตุเพียงพอ หรือเป็นผู้ที่สมควรในการเข้าสู่เส้นทางของสัมโพธิมุต
ในเรื่องของเวลาจึงเป็นสิ่งที่สําคัญ แม้แต่หนึ่งขณะจิต
ไม่ควรที่จะปล่อยให้มันล่วงไปเฉยๆ ถ้าล่วงไปเฉยๆนี่ก็ประมาทแล้ว เพราะจิตมันไม่เฉยด้วยในหนึ่งขณะจิต นอกเหนือจากมันไม่ล่วงไปเฉยๆแล้ว มันยังกลืนกินชีวิตของเรา กลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์ไปทุกขณะ ห้วงเวลาแห่งชีวิตที่มีอยู่ ก็ถูกเวลามันกลืนกินไปเรื่อยๆ ถ้าใครก็ตามที่ปล่อยให้เวลามันกลืนกิน ห้วงแห่งวัย หรืออายุ หรือชีวิตของตนแต่ละขณะ มันถือว่าเป็นความประมาท
พระพุทธเจ้าเลยให้ว่า ให้พิจารณาในหนึ่งขณะจิต อย่างน้อยให้ได้มีโยนิโสมนสิการว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น หรือไม่ก็ให้คิด ๓ ประการ พิจารณาลงไปละเอียดว่า รูปนามกายใจนี้ ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรแก่การที่จะเข้าไปยึดถือสิ่งใดๆเลย หาสาระแก่นสารในรูปในนามนี้ ไม่มี พิจารณาแบบนี้
หรือ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ปล่อยให้อกุศลมันเกิดขึ้นในขณะจิต ในห้วงของเวลาหนึ่ง ที่มันเกิดแล้วก็ดับไปด้วยความเป็นอกุศล เพราะอกุศลที่เกิดขึ้นในขณะจิตมันจะเก็บเกี่ยว จะตกตะกอนอยู่ที่จิต จะพอกพูนโมหะและอวิชชา นั่นหมายความว่า ถ้าเราอยู่ในหลุมโคลนแห่งความทุกข์ ถ้าเราไม่ประมาท เราก็จะอยู่บนพื้นผิวของมัน แต่ถ้าเราปล่อยให้อกุศลเกิดแต่ละขณะจิต แล้วก็ดับไปด้วยความไม่รู้ มันก็จะพอกพูนโมหะ นั่นเรียกว่า ดําดิ่งลงก้นบ่อของหลุมโคลน มันยิ่งทําให้เกลียวของความเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะทุกข์นี้ ยิ่งมีกําลังแข็งแรง เรียกว่า เชือกเกลียวแห่งความทุกข์จะรัดรึงจิตนี้ ให้จมปลักอยู่ในห้วงของความทุกข์อีกยาวนาน
คุณค่าของชีวิตอยู่ที่การให้ความสําคัญต่อเวลา
ในขณะที่เป็นปัจจุบันของชีวิตนี้ ไม่ควรปล่อยให้ขณะนั้นเป็นอกุศลที่เป็นอาหารของอวิชชา
สภาพธรรมใดที่ปรากฏในสภาพธรรมนั้น ให้รู้ชัดในสภาพธรรมนั้น นี่คือหลักของการภาวนา
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พุทธศาสนา