ฟังธรรมจากพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี)

ความตั้งมั่นที่มีสติแลอยู่ - คอร์สอานาปานสติ วัดบุปผาราม (21-24 มี.ค. 67 10/17)


Listen Later

คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 มี.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร


เมื่อเช้าพูดถึงเรื่องหนึ่งขณะจิต ในหนึ่งขณะจิต เราก็สามารถพูดได้ว่า มันมีความแตกต่างกัน ระหว่างปุถุชน เสขบุคคล แล้วก็ผู้ที่สิ้นราคะแล้ว

ที่มันเหมือนกันก็คือว่า ปุถุชนที่ปฏิบัติ ในหนึ่งขณะจิตสามารถปล่อยวางสังขารได้ คือ ทําจิตให้มันบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วก็ปล่อยวางสังขารได้ ปุถุชนจะเหมือนกันกับเสขบุคคล ก็คือว่า ยินดี

ถ้าเรามีสังขารในขณะจิต เช่นว่า ความโกรธ ความพยาบาท พวกอังคณะกิเลสทั้งหลาย ความเกิดก็เป็นสังขาร ตัณหาก็เป็นสังขาร เวทนาก็เป็นสังขาร ความโศกก็เป็นสังขาร ความร่ำไรรำพันก็เป็นสังขาร ความคับแค้นใจก็เป็นสังขาร ทุกอย่างที่เป็นสังขารทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นของคนที่เป็นปุถุชน แล้วเห็นสังขารนั้น แล้ววางเฉยต่อสังขารนั้นได้ ปุถุชนจะเกิดความยินดี ซึ่งความยินดีในการวางสังขาร ก็เป็นสังขารต่อไป ลองพิจารณาดูดีๆนะ ฟังให้จบ ทําความเข้าใจให้ดี

เมื่อปุถุชนเห็นสังขาร วางสังขารได้ ก็จะเกิดความยินดี และความยินดีนั้นก็เป็นสังขารต่อไป

เสขบุคคล ตั้งแต่โสดาบัน สกทาคามี ก็มีสังขาร เห็นสังขาร แล้วก็วางเฉยจากสังขารนั้นได้ ในหนึ่งขณะจิตนะ แล้วเกิดความยินดีในการที่ดับสังขารเหล่านั้น ความยินดี ทั้งของเสขบุคคล ทั้งของปุถุชน ในการที่จะวางสังขารได้ มันก็จะทําให้เป็นอุปสรรคต่อการภาวนา ทําให้การภาวนานั้นเกิดความเศร้าหมองขึ้นมาทันที เพราะมันเป็นสังขารตัวใหม่

แต่ผู้ที่สิ้นราคะแล้ว จากอนาคามีไป เห็นสังขาร สังขารดับ ก็ไม่ยินดีและก็ไม่มีความไม่ยินดี ทั้งยินดี ทั้งไม่ยินดี ผู้ที่สิ้นราคะแล้วจะไม่มีปรากฏนั้น แต่จะนําจิตเข้าไปสู่ผลสมาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สุญญตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ ซึ่งผลสมาบัติเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้น เป็นผลจากการภาวนา

ที่เน้นกับพวกเราในการภาวนาว่า นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ เอาสติบริสุทธิ์บ่มความตั้งมั่นขึ้น แล้วให้ดูสังขารทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นในหนึ่งขณะจิต แต่ในขณะที่ดู จิตอยู่กับความตั้งมั่น เมื่อจิตอยู่กับความตั้งมั่นนั่นแหละคือ ที่พูดเมื่อวานว่า ทรงฌาน จริงๆมันคือ ผลสมาบัติ แต่เราเผลอไปยินดีกับการที่พวกสังขารทั้งหลายที่มันวางเฉยได้ สิ่งที่ปรุงแต่งทั้งหมด คือ สังขาร การวางเฉยต่อสังขารได้ ตัวปัญญา คือ ตัวรู้ที่เกิดขึ้นจากการที่มันวางเฉยสังขาร เขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ มันเหมือนกับว่าเป็นญาณสูงมาก เพราะว่า สังขารุเปกขาญาณ ในลําดับของปริยัติ เขาวางไว้ในชั้นของการที่จะสู่ความเป็นอริยบุคคล เป็นลําดับ ลําดับ

คนจึงมีความเชื่อว่า การที่จะเข้าสู่ทางแห่งสัมโพธิมุตม์ มันยากมาก มันอยู่สูง มันอยู่ไกล ในธรรมชาติสายนี้มันไกล จนในที่สุด โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มรรคผลนิพพาน ไกลมาก สุดเอื้อม


ขณะจิตอยู่ที่ไหน? อยู่ที่รูปนามนี้ อยู่ที่กายใจนี้

ถ้าเราพูดถึงความอิสระแห่งจิต ความอิสระแห่งจิตมันต้องอยู่ในหนึ่งขณะจิตที่เป็นปัจจุบัน

นั่นแหละคือ อิสระแห่งจิตในหนึ่งขณะจิตที่เป็นปัจจุบัน

ถ้าขณะจิตที่ดับไปแล้ว จะมีผลอะไร ขณะจิตที่ยังไม่เกิด มันจะมีผลอะไร

ในความเป็นปัจจุบันของแต่ละขณะจิต จะถูกร้อยเรียงด้วยปัญญา ปัญญาจึงถูกเติมลงไปในแต่ละขณะจิต แต่ละขณะจิต และปัญญาที่จะเติมลงไปในแต่ละขณะจิตนี้ เกิดจากการฟัง แต่ตัวที่เติมปัญญาเข้าไปอย่างที่สุดของมัน คือ ตัวที่รู้ในความเป็นจริง คือ ตัวที่เติมปัญญาลงไปสู่จิต จิตที่มีความตั้งมั่นและเติมปัญญาลงไป จะสว่างไสว ไปกับกําลังของปัญญา ที่มันไปร้อยเรียงในแต่ละขณะจิต

เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เลยว่า ในแต่ละขณะจิตต่างกันแค่ ๒ อย่าง รู้กับไม่รู้

  • ไม่รู้ ก็ไปอยู่ในสายของอวิชชา
  • รู้ ก็จะอยู่ในสายของวิชชา

 รู้กับไม่รู้ รู้อะไร? ไม่รู้อะไร? ในเมื่อขณะจิตมันอยู่ที่นี่ ที่รูปนามกายใจนี้ 

  • ไม่รู้อะไร? ไม่รู้รูปนาม
  • รู้อะไร? รู้รูปนามตามความเป็นจริง

อย่าสกัดกั้น ด้วยความรู้ ความเชื่อ ที่ตนเองมีอยู่ ปลดปล่อยมันออกไป เพียงแค่ให้ นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระที่ฐาน แล้วก็ดูสภาวะ คือ อาการกาย อาการใจ ที่ปรากฏตรงๆตามความเป็นจริง เท่านั้น มันก็จะบ่มมันขึ้นมาแล้ว

อย่าไปหลงมันนะ อย่าไปหลงว่ารู้ และอย่าไปหลงว่าไม่รู้ แค่รู้ มันบางมากนะกับการที่จะหลงกับมัน หลงว่ารู้ หลงว่าไม่รู้ กับแค่รู้นี่มันห่างกันนิดเดียว

#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ขณะจิตที่เป็นปัจจุบัน

...more
View all episodesView all episodes
Download on the App Store

ฟังธรรมจากพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี)By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)