
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-8 ก.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
พึงรู้ไว้ว่าที่พระพุทธเจ้าให้นั่งคู้บัลลังก์ คือ ท่านให้ทํากายส่วนล่างนี่ให้เป็นบัลลังก์เพื่อความสมดุล เพื่อให้กายเข้าสู่ความสงบ ความสงัด ความวิเวก ความนิ่ง เพราะถ้ากายไม่มีบัลลังก์ ไม่นั่งคู้ ไม่ตั้งให้เป็นบัลลังก์แล้ว จะกระสับกระส่าย ถ้ากายกระสับกระส่าย จิตก็จะกระสับกระส่ายด้วย
นั่งคู่บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง พึงระลึกไว้เลยว่า กายตรงหมายความว่ากระดูกสันหลังกับกระดูกคอต่อจะตั้งฉากกับพื้น เวลาเรานั่งไปเรื่อยๆหัวมันจะตก ต้องยกขึ้นมาแต่อย่าเชิดอย่างนี้นะ ยกขึ้นมาเบาๆ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ต้องให้ความสําคัญ เพราะเวลาพระพุทธเจ้าท่านจะให้ใครไปปฏิบัตินี่ ว่า ภิกษุโน่น นั่นในป่า นั่นโคนไม้ นั่นเรือนร้าง นั่นเงื้อมผา นั่นถ้ำ จงไปที่นั่นและนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า นี่คือคําสอนของพระพุทธเจ้า
ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทติ อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า
ตัวที่เห็นคือตา แต่ในสภาวะจิต จิตที่นิ่งอยู่ พอมีลมกระทบ คือ มันเกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นในบริเวณฐานหรือบริเวณนิมิตตรงนั้น นั่นแหละคือการกระทบของลมหายใจ จิตที่นิ่งอยู่ก็มีสติเข้าไปรู้ลมที่กระทบนั้น นี่แหละเรียกว่ารู้กายในกาย ผู้ปฏิบัติมีแค่เพียรรู้ ลมออกก็รู้อย่างนั้น ลมเข้าก็รู้อย่างนั้น รู้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ตั้งใจรู้ จิตนิ่งเฉยอิสระอยู่ตรงนั้น มีสติเข้าไปรู้ลมตามความเป็นจริง ลมนั้นเป็นลมที่กระทบไม่ใช่ลมที่เกิดจากสัญญานิมิต คือไม่ได้อนุมาน ไม่ได้คิด ไม่ได้คิดว่าวิ่งเข้าไปดูข้างใน วิ่งตามลมเข้าไปข้างใน จนถึงอกถึงท้อง อย่างนั้นไม่ใช่ความเป็นจริงของลมหายใจ ความเป็นจริงของลมหายใจคือลมที่มันกระทบ เฝ้ารู้นิ่งเฉยๆอยู่ตรงนั้น ไม่มีคําใดเข้าไปสอดแทรก ไม่มีการกําหนดใดๆ รู้ตรงๆ เหมือนกับงูที่เลื้อยผ่านหลังเท้าของเรา เรายืนนิ่งๆ แล้วมันรู้ถึงหนังท้องของงูที่มันถูผ่านหลังเท้าของเราตรงนั้น รู้ตรงนั้น นิ่งๆตรงนั้น ทําให้ถูกต้องใน ๑ ขณะจิต ทําให้มันถูกต้องในแต่ละขณะจิต
ถ้ามันมีความง่วงความเคลิ้มก็รู้ จิตนิ่งเฉยอิสระ รู้ว่ามีความง่วงเกิดขึ้น ลักษณะเหมือนมันจะครอบอยู่ ก็ตั้งกายตรง ยกหน้าขึ้นนิดนึง จนความง่วงที่กําลังจะครอบจิตอยู่นั้นออกไป พอความง่วงที่ครอบจิตออกไป มันก็รู้ความง่วงออกไปแล้ว จิตมีประสบการณ์ในการเห็นความง่วงมันดับ มีประสบการณ์ในการเห็นความง่วงมันเกิด เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิก มีประสบการณ์ตรงต่อการเห็นความง่วงเกิดและดับ โดยที่จิตไม่ได้ไปอยู่ในอํานาจ ไม่มีความอยากที่จะนอน ไม่มีความอยากที่จะหลับ ไม่มีความอยากที่จะให้พ้นไปจากความง่วง
จิตนิ่งเฉยอิสระ มีสติรู้กายในกาย ลมออกรู้ ลมเข้ารู้ เมื่อจิตมีความตั้งมั่นในระดับหนึ่ง เขาจะรู้กายที่สั่นสะเทือน เป็นต้นว่า รู้หน้าอกที่ยกขึ้นเมื่อหายใจเข้า เพราะว่ามันสะเทือน สติรู้ กั้นจิตไว้ ก็แค่รู้เฉยๆ หรือมีสภาวะแทรกซ้อนอื่นๆปรากฏในขณะที่จิตนิ่งเฉย มีสติรู้อยู่นั้น สภาวะเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกรู้ของจิต จิตไม่ออกไปเสวยอารมณ์ อย่างได้ยินเสียงที่ใครทําก็ไม่รู้เกิดขึ้น กระทบปั๊บ สติรู้ ไม่ให้ค่า ไม่ไหลเข้าไปสู่ในความหมายของเสียงที่ได้ยิน ถ้าไหลไปสู่ความหมายของเสียงได้ยิน มันมีชื่อต่างๆ ชื่อคน ชื่อสิ่งของ ชื่อที่เป็นที่มาของเสียงเยอะแยะมากมาย นั่นคือความคิด ถ้าอย่างนั้นต้องทําอย่างไรก็กลับมาสู่ฐาน เพราะว่าจิตหลุดออกไป แต่มันเพียงแค่ได้ยิน ไม่ได้ให้ค่า ไม่ได้ให้ความหมายใดๆต่อเสียงที่กระทบ มันก็สักแต่ว่าได้ยิน อย่างนี้การภาวนาก็เดินต่อไป พอมันไหลเข้าไปสู่ในความหมาย มันจะเกิดการปรุงแต่งขึ้นมา เกิดความสงสัย เกิดความหงุดหงิด เกิดอะไรขึ้นมาอีกเยอะ ให้พึงรู้ไว้เลยว่ามันกําลังหลงเข้าไปในสิ่งที่กระทบแล้ว อวิชชาห่อจิตออกไปแล้ว ก็กลับมาเฉยๆนะ ไม่ต้องไปทําอะไร ไม่ต้องไปละอะไร กลับมาสู่ฐานตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ
พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ตสฺส เอวํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโต เมื่อผู้ปฏิบัติไม่ประมาทมีความเพียรส่งตนไปอย่างนี้อยู่ อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ จิตจะตั้งอยู่ข้างใน สนฺติฏฺฐติ แบบคงที่ สนฺนิสีทติ คือแน่นิ่ง เอโกทิโภติ คือเป็นหนึ่งเดียว สมาธิยติ แล้วก็ตั้งมั่น
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-8 ก.ย. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
พึงรู้ไว้ว่าที่พระพุทธเจ้าให้นั่งคู้บัลลังก์ คือ ท่านให้ทํากายส่วนล่างนี่ให้เป็นบัลลังก์เพื่อความสมดุล เพื่อให้กายเข้าสู่ความสงบ ความสงัด ความวิเวก ความนิ่ง เพราะถ้ากายไม่มีบัลลังก์ ไม่นั่งคู้ ไม่ตั้งให้เป็นบัลลังก์แล้ว จะกระสับกระส่าย ถ้ากายกระสับกระส่าย จิตก็จะกระสับกระส่ายด้วย
นั่งคู่บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง พึงระลึกไว้เลยว่า กายตรงหมายความว่ากระดูกสันหลังกับกระดูกคอต่อจะตั้งฉากกับพื้น เวลาเรานั่งไปเรื่อยๆหัวมันจะตก ต้องยกขึ้นมาแต่อย่าเชิดอย่างนี้นะ ยกขึ้นมาเบาๆ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ต้องให้ความสําคัญ เพราะเวลาพระพุทธเจ้าท่านจะให้ใครไปปฏิบัตินี่ ว่า ภิกษุโน่น นั่นในป่า นั่นโคนไม้ นั่นเรือนร้าง นั่นเงื้อมผา นั่นถ้ำ จงไปที่นั่นและนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า นี่คือคําสอนของพระพุทธเจ้า
ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทติ อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดํารงสติอยู่เฉพาะหน้า
ตัวที่เห็นคือตา แต่ในสภาวะจิต จิตที่นิ่งอยู่ พอมีลมกระทบ คือ มันเกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นในบริเวณฐานหรือบริเวณนิมิตตรงนั้น นั่นแหละคือการกระทบของลมหายใจ จิตที่นิ่งอยู่ก็มีสติเข้าไปรู้ลมที่กระทบนั้น นี่แหละเรียกว่ารู้กายในกาย ผู้ปฏิบัติมีแค่เพียรรู้ ลมออกก็รู้อย่างนั้น ลมเข้าก็รู้อย่างนั้น รู้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ตั้งใจรู้ จิตนิ่งเฉยอิสระอยู่ตรงนั้น มีสติเข้าไปรู้ลมตามความเป็นจริง ลมนั้นเป็นลมที่กระทบไม่ใช่ลมที่เกิดจากสัญญานิมิต คือไม่ได้อนุมาน ไม่ได้คิด ไม่ได้คิดว่าวิ่งเข้าไปดูข้างใน วิ่งตามลมเข้าไปข้างใน จนถึงอกถึงท้อง อย่างนั้นไม่ใช่ความเป็นจริงของลมหายใจ ความเป็นจริงของลมหายใจคือลมที่มันกระทบ เฝ้ารู้นิ่งเฉยๆอยู่ตรงนั้น ไม่มีคําใดเข้าไปสอดแทรก ไม่มีการกําหนดใดๆ รู้ตรงๆ เหมือนกับงูที่เลื้อยผ่านหลังเท้าของเรา เรายืนนิ่งๆ แล้วมันรู้ถึงหนังท้องของงูที่มันถูผ่านหลังเท้าของเราตรงนั้น รู้ตรงนั้น นิ่งๆตรงนั้น ทําให้ถูกต้องใน ๑ ขณะจิต ทําให้มันถูกต้องในแต่ละขณะจิต
ถ้ามันมีความง่วงความเคลิ้มก็รู้ จิตนิ่งเฉยอิสระ รู้ว่ามีความง่วงเกิดขึ้น ลักษณะเหมือนมันจะครอบอยู่ ก็ตั้งกายตรง ยกหน้าขึ้นนิดนึง จนความง่วงที่กําลังจะครอบจิตอยู่นั้นออกไป พอความง่วงที่ครอบจิตออกไป มันก็รู้ความง่วงออกไปแล้ว จิตมีประสบการณ์ในการเห็นความง่วงมันดับ มีประสบการณ์ในการเห็นความง่วงมันเกิด เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิก มีประสบการณ์ตรงต่อการเห็นความง่วงเกิดและดับ โดยที่จิตไม่ได้ไปอยู่ในอํานาจ ไม่มีความอยากที่จะนอน ไม่มีความอยากที่จะหลับ ไม่มีความอยากที่จะให้พ้นไปจากความง่วง
จิตนิ่งเฉยอิสระ มีสติรู้กายในกาย ลมออกรู้ ลมเข้ารู้ เมื่อจิตมีความตั้งมั่นในระดับหนึ่ง เขาจะรู้กายที่สั่นสะเทือน เป็นต้นว่า รู้หน้าอกที่ยกขึ้นเมื่อหายใจเข้า เพราะว่ามันสะเทือน สติรู้ กั้นจิตไว้ ก็แค่รู้เฉยๆ หรือมีสภาวะแทรกซ้อนอื่นๆปรากฏในขณะที่จิตนิ่งเฉย มีสติรู้อยู่นั้น สภาวะเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกรู้ของจิต จิตไม่ออกไปเสวยอารมณ์ อย่างได้ยินเสียงที่ใครทําก็ไม่รู้เกิดขึ้น กระทบปั๊บ สติรู้ ไม่ให้ค่า ไม่ไหลเข้าไปสู่ในความหมายของเสียงที่ได้ยิน ถ้าไหลไปสู่ความหมายของเสียงได้ยิน มันมีชื่อต่างๆ ชื่อคน ชื่อสิ่งของ ชื่อที่เป็นที่มาของเสียงเยอะแยะมากมาย นั่นคือความคิด ถ้าอย่างนั้นต้องทําอย่างไรก็กลับมาสู่ฐาน เพราะว่าจิตหลุดออกไป แต่มันเพียงแค่ได้ยิน ไม่ได้ให้ค่า ไม่ได้ให้ความหมายใดๆต่อเสียงที่กระทบ มันก็สักแต่ว่าได้ยิน อย่างนี้การภาวนาก็เดินต่อไป พอมันไหลเข้าไปสู่ในความหมาย มันจะเกิดการปรุงแต่งขึ้นมา เกิดความสงสัย เกิดความหงุดหงิด เกิดอะไรขึ้นมาอีกเยอะ ให้พึงรู้ไว้เลยว่ามันกําลังหลงเข้าไปในสิ่งที่กระทบแล้ว อวิชชาห่อจิตออกไปแล้ว ก็กลับมาเฉยๆนะ ไม่ต้องไปทําอะไร ไม่ต้องไปละอะไร กลับมาสู่ฐานตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ
พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ตสฺส เอวํ อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโต เมื่อผู้ปฏิบัติไม่ประมาทมีความเพียรส่งตนไปอย่างนี้อยู่ อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ จิตจะตั้งอยู่ข้างใน สนฺติฏฺฐติ แบบคงที่ สนฺนิสีทติ คือแน่นิ่ง เอโกทิโภติ คือเป็นหนึ่งเดียว สมาธิยติ แล้วก็ตั้งมั่น
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร