
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
ตั้งกายตรง ปรับกายให้มันสบาย ให้สบายก็คือว่า ให้จิตเข้าไปรู้กายส่วนบนใบหน้า แล้วก็ลองปรับ ลองโยก ลองโคลน ลองนั่งดูให้มันสบาย แม้กระทั่งว่าอย่าให้มันก้มจนเกินไป อย่าให้มันเชิดจนเกินไป จุดไหนที่มันสบาย แล้วก็เคลื่อนลงไปที่กระดูกคอต่อ ไม่ให้มันเกร็งไป ไม่ให้มันอ่อนไป ให้มันตั้งแบบธรรมชาติ กระดูกข้อต่อกับกระดูกสันหลังนี่ตั้งตรงกัน แล้วไล่ดูไหล่ซ้ายไหล่ขวานะ ไหปลาร้าแถวนั้น อย่าให้มันขัดอย่าให้มันแค้น ขยับๆให้มันโล่งทั้งซ้ายทั้งขวา มือซ้ายจะวางแบบไหนก็ได้ วางให้นิ่งไว้ ให้มันสบายไม่มีเกร็งไม่มีกด มือขวาขยับ ไล่จิตเข้าไปรับรู้ ไม่ให้มันมีเกร็งในส่วนใด
แล้วลงไปที่สะโพกซ้ายขวาที่มีน้ำหนักกดทับไปทางซ้ายและทางขวา ขยับให้มันรู้สึกได้ ไม่กดลงไปมาก มันกดลงแบบเท่าๆกัน ๒ ส่วน ๒ ฝั่ง ที่เรารู้สึกอยู่ตอนนี้ นั่งไปสักพักหนึ่งมันก็จะปวดตรงนั้นน่ะ ก็ทน เวลามันปวดให้จิตอยู่ที่ฐาน สติรู้ความปวดนั้น แยกออกจากจิต ให้มันปวดอยู่ที่ๆมันปวด แล้วก็ดูมันไปตรงๆ แต่ตอนนี้มันยังไม่ปวดก็แค่รู้ไว้นะ ตรงที่น้ำหนัก แท่งกายทั้งแท่งที่มันตั้งลงไปที่สะโพกทั้ง ๒ ฝั่ง ที่มันกดอยู่
จากนั้นลงไปที่เท้าซ้ายเท้าขวา คนที่นั่งอยู่กับเก้าอี้ ตัวที่มันจะมารู้สึกอันแรกคือ ฝ่าเท้าที่วางจรดพื้น เพราะฉะนั้นวางให้มันเสมอให้มันเรียบ อย่าให้ปลายเท้ากด ส้นเท้ายก หรืออย่าให้ส้นเท้ากด ปลายเท้ายก หรืออย่ากดทั้งปลายเท้าทั้งส้นเท้า แค่วางมันไว้ให้เสมอเรียบๆ สําหรับพวกที่นั่งตั้งบัลลังก์ ถ้าขาซ้ายทับขาขวา ดูที่น้ำหนักที่กดที่สะโพกซ้ายขวาเสร็จ เข้ามาที่เท้าขวาที่วางอยู่บนขาซ้าย ให้จิตที่มันอยู่ที่ฐานนี่แหละให้มันเข้าไปรู้สึกได้แยกแยะออกไป จิตนิ่งอยู่ที่ฐานแล้วมันไปรู้เท้าซ้ายที่มันวางอยู่บนเท้าขวา มันรู้สึกตรงไหนได้ ขยับมันให้มันเบา ให้มันไม่ไปกดอะไรมาก จากนั้นดูเท้าซ้าย ที่มันอยู่ข้างล่าง ที่รับน้ำหนักของขาขวา จัดฝ่าเท้าให้มันพอดี ไม่มีการบีบคั้นหรือมีก็รู้ว่าตรงนี้มันบีบคั้นนิดๆหน่อยๆ ก็ปล่อยให้มันผ่านไป
พอมันเริ่มตั้งมั่น ความตั้งมั่นเริ่มตั้ง จิตจะเผลอได้ง่ายนะ ท่านบอกว่า เผลอตามลมเข้า เผลอตามลมออก เผลอยินดีลมเข้า เผลอยินดีลมออก เผลอตามลม เผลอยินดีกับลม เผลอควานหาลม อันนี้เป็นอุปกิเลส ๖ ข้อแรก เผลอตามลม เผลอตามลมเข้า เผลอตามลมออก เผลอยินดีลมเข้า เผลอยินดีลมออก เผลอในการควานหาลมเข้า เผลอในการควานหาลมออก ถ้าจิตมันเผลอไปตามลมก็ไม่ต้องไปทําอะไรนะ แค่รู้ว่ามันเผลอตามลม กลับเข้าไปสู่ฐานรู้ลมไปตรงๆ กลับสู่ฐานรู้ลมตรงๆดับอุปกิเลสที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อจิตตั้งมั่น สติทําหน้าที่รู้ตรงๆ พอกายนิ่ง จิตมันมีความตั้งมั่น ลมละเอียด ลมเข้ามันก็รู้ตรงๆ ลมออกมันก็รู้ไปตรงๆ ลมยาวมันก็รู้ตรงๆ ลมสั้นมันก็รู้ไปตรงๆ ลมหยาบมันก็รู้ไปตรงๆ ลมเป็นอย่างไรมันก็รู้อย่างนั้นไปตรงๆ
จิตที่ตั้งมั่นนิ่งอยู่ที่ฐานนั้นเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับกาย เหมือนน้ำที่อยู่ในขวด เมื่อตั้งขวดนิ่ง น้ำก็นิ่งอยู่ข้างในขวดนั้น ไม่กระเพื่อมไม่ขยับ จิตก็เหมือนกัน กายที่นิ่งอยู่ จิตนิ่งอยู่ที่ฐาน อยู่ข้างในนั้น ไม่กระเพื่อมอะไร ในขณะที่รู้ลมหยุดได้ ก็จะเห็นความคิดแลบขึ้นมา เป็นภาษา เป็นเสียงพูดภายในนะ ไม่ใช่เสียงพูดที่ได้ยินกับหูแต่เป็นเสียงพูดภายในใจ มันพูดขึ้นมาขณะที่รู้ลมหยุด หายใจออก รู้ลมหยุด หายใจเข้า
ถ้าฟังเสียง รู้ความหมายของเสียงที่พูด จิตไม่ไหลเข้าไปในในความหมายนั้น ถ้าจิตไม่ไหลเข้าไปในความหมายมันแค่รู้ว่ามันมีความคิดเกิดขึ้น หรือมโนภาพต่างๆที่ปรากฏ มโนภาพเหล่านั้นก็คือความคิด มันเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย นิ่งอยู่ที่ฐาน ก็รู้ พอไม่มีสภาวะอะไรรู้ก็อยู่กับลมหายใจ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ ไม่มีลมเข้าไม่มีลมออกก็รู้ลมหยุด รู้สภาวะที่ลมมันหยุด สภาวะเช่นนี้แหละที่เรียกว่าจิตไม่ห่างจากฌาน ตัวความตั้งมั่นที่นิ่งอยู่นั่นแหละมีคุณสมบัติ ๒ อย่าง คือ กามวิเวกกับกุศลวิเวก ตัวตั้งมั่นที่นิ่งอยู่นั่นแหละเป็นกุศลธาตุนะ ผู้ปฏิบัติก็เพียรรู้ต่อไป ขณะที่เพียรรู้มันเกิดเป็น อาตาปี สมฺปชาโน คือมีความเพียรแผดเผา มีความรู้ตัว แล้วก็มีสติ ไปในขณะๆที่จิตรู้ ที่มีสติรู้ลมออก มีสติรู้ลมเข้า กามฉันท์ คือ อาการที่จิตมันไหลเพลินไปกับสิ่งที่มันปรากฏ ไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นผู้ปฏิบัติก็เห็นอาการของจิตที่กําลังไหลไปนั้น จิตก็จะหยุด มันหยุดจากการไหลเพลินก็เป็นการดับ ละกามฉันท์นิวรณ์เสียได้#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
ตั้งกายตรง ปรับกายให้มันสบาย ให้สบายก็คือว่า ให้จิตเข้าไปรู้กายส่วนบนใบหน้า แล้วก็ลองปรับ ลองโยก ลองโคลน ลองนั่งดูให้มันสบาย แม้กระทั่งว่าอย่าให้มันก้มจนเกินไป อย่าให้มันเชิดจนเกินไป จุดไหนที่มันสบาย แล้วก็เคลื่อนลงไปที่กระดูกคอต่อ ไม่ให้มันเกร็งไป ไม่ให้มันอ่อนไป ให้มันตั้งแบบธรรมชาติ กระดูกข้อต่อกับกระดูกสันหลังนี่ตั้งตรงกัน แล้วไล่ดูไหล่ซ้ายไหล่ขวานะ ไหปลาร้าแถวนั้น อย่าให้มันขัดอย่าให้มันแค้น ขยับๆให้มันโล่งทั้งซ้ายทั้งขวา มือซ้ายจะวางแบบไหนก็ได้ วางให้นิ่งไว้ ให้มันสบายไม่มีเกร็งไม่มีกด มือขวาขยับ ไล่จิตเข้าไปรับรู้ ไม่ให้มันมีเกร็งในส่วนใด
แล้วลงไปที่สะโพกซ้ายขวาที่มีน้ำหนักกดทับไปทางซ้ายและทางขวา ขยับให้มันรู้สึกได้ ไม่กดลงไปมาก มันกดลงแบบเท่าๆกัน ๒ ส่วน ๒ ฝั่ง ที่เรารู้สึกอยู่ตอนนี้ นั่งไปสักพักหนึ่งมันก็จะปวดตรงนั้นน่ะ ก็ทน เวลามันปวดให้จิตอยู่ที่ฐาน สติรู้ความปวดนั้น แยกออกจากจิต ให้มันปวดอยู่ที่ๆมันปวด แล้วก็ดูมันไปตรงๆ แต่ตอนนี้มันยังไม่ปวดก็แค่รู้ไว้นะ ตรงที่น้ำหนัก แท่งกายทั้งแท่งที่มันตั้งลงไปที่สะโพกทั้ง ๒ ฝั่ง ที่มันกดอยู่
จากนั้นลงไปที่เท้าซ้ายเท้าขวา คนที่นั่งอยู่กับเก้าอี้ ตัวที่มันจะมารู้สึกอันแรกคือ ฝ่าเท้าที่วางจรดพื้น เพราะฉะนั้นวางให้มันเสมอให้มันเรียบ อย่าให้ปลายเท้ากด ส้นเท้ายก หรืออย่าให้ส้นเท้ากด ปลายเท้ายก หรืออย่ากดทั้งปลายเท้าทั้งส้นเท้า แค่วางมันไว้ให้เสมอเรียบๆ สําหรับพวกที่นั่งตั้งบัลลังก์ ถ้าขาซ้ายทับขาขวา ดูที่น้ำหนักที่กดที่สะโพกซ้ายขวาเสร็จ เข้ามาที่เท้าขวาที่วางอยู่บนขาซ้าย ให้จิตที่มันอยู่ที่ฐานนี่แหละให้มันเข้าไปรู้สึกได้แยกแยะออกไป จิตนิ่งอยู่ที่ฐานแล้วมันไปรู้เท้าซ้ายที่มันวางอยู่บนเท้าขวา มันรู้สึกตรงไหนได้ ขยับมันให้มันเบา ให้มันไม่ไปกดอะไรมาก จากนั้นดูเท้าซ้าย ที่มันอยู่ข้างล่าง ที่รับน้ำหนักของขาขวา จัดฝ่าเท้าให้มันพอดี ไม่มีการบีบคั้นหรือมีก็รู้ว่าตรงนี้มันบีบคั้นนิดๆหน่อยๆ ก็ปล่อยให้มันผ่านไป
พอมันเริ่มตั้งมั่น ความตั้งมั่นเริ่มตั้ง จิตจะเผลอได้ง่ายนะ ท่านบอกว่า เผลอตามลมเข้า เผลอตามลมออก เผลอยินดีลมเข้า เผลอยินดีลมออก เผลอตามลม เผลอยินดีกับลม เผลอควานหาลม อันนี้เป็นอุปกิเลส ๖ ข้อแรก เผลอตามลม เผลอตามลมเข้า เผลอตามลมออก เผลอยินดีลมเข้า เผลอยินดีลมออก เผลอในการควานหาลมเข้า เผลอในการควานหาลมออก ถ้าจิตมันเผลอไปตามลมก็ไม่ต้องไปทําอะไรนะ แค่รู้ว่ามันเผลอตามลม กลับเข้าไปสู่ฐานรู้ลมไปตรงๆ กลับสู่ฐานรู้ลมตรงๆดับอุปกิเลสที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อจิตตั้งมั่น สติทําหน้าที่รู้ตรงๆ พอกายนิ่ง จิตมันมีความตั้งมั่น ลมละเอียด ลมเข้ามันก็รู้ตรงๆ ลมออกมันก็รู้ไปตรงๆ ลมยาวมันก็รู้ตรงๆ ลมสั้นมันก็รู้ไปตรงๆ ลมหยาบมันก็รู้ไปตรงๆ ลมเป็นอย่างไรมันก็รู้อย่างนั้นไปตรงๆ
จิตที่ตั้งมั่นนิ่งอยู่ที่ฐานนั้นเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับกาย เหมือนน้ำที่อยู่ในขวด เมื่อตั้งขวดนิ่ง น้ำก็นิ่งอยู่ข้างในขวดนั้น ไม่กระเพื่อมไม่ขยับ จิตก็เหมือนกัน กายที่นิ่งอยู่ จิตนิ่งอยู่ที่ฐาน อยู่ข้างในนั้น ไม่กระเพื่อมอะไร ในขณะที่รู้ลมหยุดได้ ก็จะเห็นความคิดแลบขึ้นมา เป็นภาษา เป็นเสียงพูดภายในนะ ไม่ใช่เสียงพูดที่ได้ยินกับหูแต่เป็นเสียงพูดภายในใจ มันพูดขึ้นมาขณะที่รู้ลมหยุด หายใจออก รู้ลมหยุด หายใจเข้า
ถ้าฟังเสียง รู้ความหมายของเสียงที่พูด จิตไม่ไหลเข้าไปในในความหมายนั้น ถ้าจิตไม่ไหลเข้าไปในความหมายมันแค่รู้ว่ามันมีความคิดเกิดขึ้น หรือมโนภาพต่างๆที่ปรากฏ มโนภาพเหล่านั้นก็คือความคิด มันเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย นิ่งอยู่ที่ฐาน ก็รู้ พอไม่มีสภาวะอะไรรู้ก็อยู่กับลมหายใจ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ ไม่มีลมเข้าไม่มีลมออกก็รู้ลมหยุด รู้สภาวะที่ลมมันหยุด สภาวะเช่นนี้แหละที่เรียกว่าจิตไม่ห่างจากฌาน ตัวความตั้งมั่นที่นิ่งอยู่นั่นแหละมีคุณสมบัติ ๒ อย่าง คือ กามวิเวกกับกุศลวิเวก ตัวตั้งมั่นที่นิ่งอยู่นั่นแหละเป็นกุศลธาตุนะ ผู้ปฏิบัติก็เพียรรู้ต่อไป ขณะที่เพียรรู้มันเกิดเป็น อาตาปี สมฺปชาโน คือมีความเพียรแผดเผา มีความรู้ตัว แล้วก็มีสติ ไปในขณะๆที่จิตรู้ ที่มีสติรู้ลมออก มีสติรู้ลมเข้า กามฉันท์ คือ อาการที่จิตมันไหลเพลินไปกับสิ่งที่มันปรากฏ ไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นผู้ปฏิบัติก็เห็นอาการของจิตที่กําลังไหลไปนั้น จิตก็จะหยุด มันหยุดจากการไหลเพลินก็เป็นการดับ ละกามฉันท์นิวรณ์เสียได้#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร