
Sign up to save your podcasts
Or


การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
การเจริญภาวนาจะต้องตรงสู่กายสู่ใจ เราจะต้องถอยออกมาจากความจํา ความรู้ ความเชื่อ เพราะเป็นเครื่องรัดรึงใจของเรา พระพุทธเจ้าบอกว่า
เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงเรื่องคําสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องของการปฏิบัติธรรม เรื่องของการเข้าถึงธรรมะแท้ๆของพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว นี่คือเครื่องรัดรึง 4 ข้อ เป็นเครื่องรัดรึงที่เกิดขึ้นมาจากความรู้ ความจํา ความเชื่อ
ความรู้ ความจํา ความเชื่อ มันก่อให้เกิดความคิด ก่อให้เกิดความปรุงแต่ง ความคิดและความปรุงแต่งก็ไหลไปตามอาสวะ ตัวจิตเดิมที่มีอยู่มันเคลือบอยู่กับความไม่รู้ ก็ไปแสวงหา ถวิลหา สั่งสมความรู้ ความจํา ความเชื่อ ก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ เรียกว่า มิจฉามรรค มิจฉัตตะ 10 ประการ เลยผิดตั้งแต่ความเห็น จนถึงแม้กระทั่งหลุดพ้นก็ผิดไปด้วย เราจะไปพิสูจน์ตรงอื่นไม่ได้เลย ดูที่ตัวเอง พิสูจน์ที่เจ้าของ ดูที่ตัวเราเองว่าความกระจ่างแจ้งในกายในใจของเรามีอย่างไร ความกระจ่างแจ้งในกายในใจรู้ได้ด้วยการที่จิตมันเปลี่ยน ยิ่งตรงเข้าไปสู่กายสู่ใจจะเปลี่ยนแบบมากมายเลยทีเดียว ถ้าไม่เปลี่ยนแสดงว่ามันผิด ภูมิจิตจะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสติ สมาธิ และปัญญาที่เราบ่มอย่างถูกต้อง
ตัวรู้ที่รู้ตรงสู่กายสู่ใจที่อยู่ข้างในจะเห็นความเป็นจริงของกายของใจ เห็นไปเรื่อยๆ กายเคลื่อนไหวอย่างไร รู้ ลมเป็นอย่างไร รู้ รู้ในส่วนที่เป็นกายนี้ รู้จนในที่สุดมันรู้ไปหมดทุกอย่าง แล้วในที่สุดก็รู้ว่ากายนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มันรู้ด้วยตัวรู้ที่อยู่ข้างในนะ ไม่ใช่รู้ด้วยการคิด ตอนนี้ทุกคนรู้หมดว่ามันไม่เที่ยงใช่ไหม แต่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เพราะรู้อยู่ข้างนอกไม่ได้อยู่ข้างใน พอรู้อยู่ข้างนอกก็คือความคิด ความคิดจากความรู้ ความจํา ความเชื่อ ที่บ่มเพาะเรามาจนถึงวันนี้ แต่ละคนมีนิสัยต่างๆ นิสัยสันดานที่ไม่เหมือนกันเพราะความรู้ ความจํา ความเชื่อ ที่ก่อให้เกิดเครื่องรัดดึงทั้ง 4 ประการอยู่ในใจ ใจถูกรัดรึงไว้ 4 ประการ ใจเดิมที่มันไม่มีอะไรรัดนึงมันผุดผ่อง พระพุทธเจ้าบอกว่า
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ
ภิกษุทั้งหลายจิตเดิมนี้มันผุดผ่อง
ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ
แต่จิตนี้เศร้าหมองเพราะถูกอุปกิเลสที่จรเข้ามา
จรเข้ามาผ่านทางอายตนะ แล้วก่อให้เกิดเป็นอุปกิเลส แล้วมันก็เศร้าหมองเคลือบอยู่ ถ้าเปรียบเสมือนทองคํา แล้วเทปูนซิเมนต์ห่อไว้อย่างนั้น ไม่มีราคา จะมีราคาขึ้นมาเมื่อตอนที่เราทําลายปูนซีเมนต์แล้วทองมันก็ผุดออกมา
จิตนี้ถูกอุปกิเลสเข้ามาห้อมล้อมจนมันเศร้าหมอง แล้วอยู่ในอํานาจของอารมณ์ต่างๆตลอดเวลา อุปกิเลสที่เข้ามาห้อมล้อมจิตนี้ สรุปอยู่ในคําเดียวคือว่า เรา เราต้องอย่างนี้ เราอย่างนี้ มันจะต้องเรียกร้องแสวงหาสิ่งซึ่งจะต้องให้เข้ามาถูกใจเราตลอดเวลา เรามีหลากวัยกันอยู่ แต่ในความเป็นเราเหมือนกันหมด เราหมายถึง ปัญจุปาทานขันธ์ คือ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ว่าเป็นเรา
ใจในสภาพปกติจะไหลออกไปหาสิ่งที่ชอบใจอยู่เสมอ พระพุทธเจ้ารู้เท่าทันเรื่องนี้ทั้งหมด จึงให้ฝึกด้วยการเข้าถึงกายใจแท้ๆ แล้วนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ พอนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ มันเป็นอนิสสิตะ เป็นอัญญมะเหฐะยานะ เป็นอุปะวะเทยยะ
พอนิ่งรู้เฉยอยู่ต่อเนื่องไปตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติที่เราฝึกกันด้วยการรู้ลมอยู่ต่อเนื่องนี้ จะทําให้เกิดอุเบกขาคือตัวนิ่งตัวเฉยอยู่มาเป็นฐานให้กับรู้ ณ ขณะที่รู้ ไม่มีความพอใจ ความไม่พอใจ เข้ามาเกี่ยวข้อง
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
การเจริญภาวนาจะต้องตรงสู่กายสู่ใจ เราจะต้องถอยออกมาจากความจํา ความรู้ ความเชื่อ เพราะเป็นเครื่องรัดรึงใจของเรา พระพุทธเจ้าบอกว่า
เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงเรื่องคําสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องของการปฏิบัติธรรม เรื่องของการเข้าถึงธรรมะแท้ๆของพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว นี่คือเครื่องรัดรึง 4 ข้อ เป็นเครื่องรัดรึงที่เกิดขึ้นมาจากความรู้ ความจํา ความเชื่อ
ความรู้ ความจํา ความเชื่อ มันก่อให้เกิดความคิด ก่อให้เกิดความปรุงแต่ง ความคิดและความปรุงแต่งก็ไหลไปตามอาสวะ ตัวจิตเดิมที่มีอยู่มันเคลือบอยู่กับความไม่รู้ ก็ไปแสวงหา ถวิลหา สั่งสมความรู้ ความจํา ความเชื่อ ก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ เรียกว่า มิจฉามรรค มิจฉัตตะ 10 ประการ เลยผิดตั้งแต่ความเห็น จนถึงแม้กระทั่งหลุดพ้นก็ผิดไปด้วย เราจะไปพิสูจน์ตรงอื่นไม่ได้เลย ดูที่ตัวเอง พิสูจน์ที่เจ้าของ ดูที่ตัวเราเองว่าความกระจ่างแจ้งในกายในใจของเรามีอย่างไร ความกระจ่างแจ้งในกายในใจรู้ได้ด้วยการที่จิตมันเปลี่ยน ยิ่งตรงเข้าไปสู่กายสู่ใจจะเปลี่ยนแบบมากมายเลยทีเดียว ถ้าไม่เปลี่ยนแสดงว่ามันผิด ภูมิจิตจะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสติ สมาธิ และปัญญาที่เราบ่มอย่างถูกต้อง
ตัวรู้ที่รู้ตรงสู่กายสู่ใจที่อยู่ข้างในจะเห็นความเป็นจริงของกายของใจ เห็นไปเรื่อยๆ กายเคลื่อนไหวอย่างไร รู้ ลมเป็นอย่างไร รู้ รู้ในส่วนที่เป็นกายนี้ รู้จนในที่สุดมันรู้ไปหมดทุกอย่าง แล้วในที่สุดก็รู้ว่ากายนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มันรู้ด้วยตัวรู้ที่อยู่ข้างในนะ ไม่ใช่รู้ด้วยการคิด ตอนนี้ทุกคนรู้หมดว่ามันไม่เที่ยงใช่ไหม แต่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เพราะรู้อยู่ข้างนอกไม่ได้อยู่ข้างใน พอรู้อยู่ข้างนอกก็คือความคิด ความคิดจากความรู้ ความจํา ความเชื่อ ที่บ่มเพาะเรามาจนถึงวันนี้ แต่ละคนมีนิสัยต่างๆ นิสัยสันดานที่ไม่เหมือนกันเพราะความรู้ ความจํา ความเชื่อ ที่ก่อให้เกิดเครื่องรัดดึงทั้ง 4 ประการอยู่ในใจ ใจถูกรัดรึงไว้ 4 ประการ ใจเดิมที่มันไม่มีอะไรรัดนึงมันผุดผ่อง พระพุทธเจ้าบอกว่า
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ
ภิกษุทั้งหลายจิตเดิมนี้มันผุดผ่อง
ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ
แต่จิตนี้เศร้าหมองเพราะถูกอุปกิเลสที่จรเข้ามา
จรเข้ามาผ่านทางอายตนะ แล้วก่อให้เกิดเป็นอุปกิเลส แล้วมันก็เศร้าหมองเคลือบอยู่ ถ้าเปรียบเสมือนทองคํา แล้วเทปูนซิเมนต์ห่อไว้อย่างนั้น ไม่มีราคา จะมีราคาขึ้นมาเมื่อตอนที่เราทําลายปูนซีเมนต์แล้วทองมันก็ผุดออกมา
จิตนี้ถูกอุปกิเลสเข้ามาห้อมล้อมจนมันเศร้าหมอง แล้วอยู่ในอํานาจของอารมณ์ต่างๆตลอดเวลา อุปกิเลสที่เข้ามาห้อมล้อมจิตนี้ สรุปอยู่ในคําเดียวคือว่า เรา เราต้องอย่างนี้ เราอย่างนี้ มันจะต้องเรียกร้องแสวงหาสิ่งซึ่งจะต้องให้เข้ามาถูกใจเราตลอดเวลา เรามีหลากวัยกันอยู่ แต่ในความเป็นเราเหมือนกันหมด เราหมายถึง ปัญจุปาทานขันธ์ คือ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ว่าเป็นเรา
ใจในสภาพปกติจะไหลออกไปหาสิ่งที่ชอบใจอยู่เสมอ พระพุทธเจ้ารู้เท่าทันเรื่องนี้ทั้งหมด จึงให้ฝึกด้วยการเข้าถึงกายใจแท้ๆ แล้วนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ พอนิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ มันเป็นอนิสสิตะ เป็นอัญญมะเหฐะยานะ เป็นอุปะวะเทยยะ
พอนิ่งรู้เฉยอยู่ต่อเนื่องไปตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติที่เราฝึกกันด้วยการรู้ลมอยู่ต่อเนื่องนี้ จะทําให้เกิดอุเบกขาคือตัวนิ่งตัวเฉยอยู่มาเป็นฐานให้กับรู้ ณ ขณะที่รู้ ไม่มีความพอใจ ความไม่พอใจ เข้ามาเกี่ยวข้อง
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ