
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 ส.ค. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
อานาปานสติที่เราฝึก ตั้งแต่เรื่องการจัดกายให้เรียบร้อย แล้วก็ตั้งสติ แล้วก็ รู้ลมยาวสั้น รู้ลักษณะของลมยาวสั้น คือจิตจะนิ่งอยู่ข้างในแล้วมีสติเข้าไปรับรู้รับทราบสิ่งที่ปรากฏ ณ ขณะนั้น เห็นไหมภาวะทุกอย่างมันหยุด แล้วมันเงียบ มันเหลือแค่จิตที่นิ่งอยู่ข้างในแล้วมีสติรู้ลม พอรู้ลมไปเรื่อย รู้ลักษณะของลมตามความเป็นจริง ไม่เข้าไปแทรกแซงอะไรทั้งนั้น รู้ตรงๆไปตามความเป็นจริง สตินั่นแหละเข้าไปรู้ จิตนิ่งอยู่ข้างใน
“นิ่งอยู่ข้างใน” หมายความว่า มันไม่ไหลเข้าไปในความหมายของสิ่งใด การที่เราเพียรให้จิตนิ่งอยู่ข้างใน แล้วก็รู้กายในกายอย่างนี้ รู้ลมอย่างนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตัวที่นิ่งอยู่ข้างในคือมันนิ่งอยู่ได้นานอย่างมีสติ เราเรียกว่า “นิ่งรู้” จิต ณ ขณะที่มันนิ่งอยู่รู้อยู่นี้เป็นสติปัฏฐาน แล้วตัวที่มันรู้นี้มันแค่รู้ ถ้ามันแค่รู้ปั๊บจิตก็จะมีกําลังในความนิ่งนี้เพิ่มขึ้น และมันก็จะเห็นด้วยสติ สติก็จะเป็นตาของจิต มันก็จะเห็นถึงความเป็นจริงของสิ่งที่มันถูกเห็น โดยที่เราไม่ต้องไปทําอะไรมัน เพราะฉะนั้นมันยั้วเยี้ยไปหมดเลยที่เราเห็น เห็นด้วยตาก็ดี เห็นด้วยใจก็ดี ด้วยการคิดนึก ล้วนออกมาเป็นอะไร? เป็นชื่อหมด การทํางานของกิเลสตัณหานี่มันจะทํางานไปตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า “สามัญชนจะมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง” แต่จิตที่จะเข้าสู่ความสงบมีปัญญาได้มันจะต้องนิ่งอยู่ข้างใน โดยมีสติรู้พวกนั้น สักแต่ว่ารู้ แค่รู้แค่ดูแค่เห็นมัน แล้วก็ฝึกแค่รู้แค่ดูแค่เห็นผ่านทางลมหายใจ มันจึงเป็นอานาปานสติขึ้นมา และนําพาเข้าสู่สติปัฏฐาน และธรรมะทั้งหมดน่ะมันเกิดโดยมีจิตที่นิ่งมีสตินั่นแหละเป็นฐานให้ ถ้าธรรมะทั้งหมดที่มันเกิดที่เรารู้ชื่อมันว่า เช่น หิริ ความละอายแก่ใจ คิดดูสิ “หิริ” นี่เป็นเสียงใช่ไหม? เป็นเสียง “ความละอายแก่ใจ” นั่นคือความหมายของเสียง พอ “หิริ ความละอายแก่ใจ” เข้าใจไหม? เข้าใจ อ๋อ ขึ้นมาทันที แต่มันไม่เป็นธรรมะสําหรับใจ
แต่พอจิตที่มันนิ่งและมีสติอยู่นี่มันสะอาด ตัวบาปที่เป็นเจตนาอันเป็นบาปที่มันโผล่ขึ้นมาในขณะจิตที่นิ่งรู้อยู่นี่ มันเหมือนกับหยดหรือมลทินของความสกปรกที่จะเข้ามาแปดเปื้อนความสะอาด ความไม่ละอายเกิดความรู้สึกอันเป็นบาปเกิดขึ้นมาในท่ามกลางจิตที่นิ่งอย่างบริสุทธิ์อยู่ มันก็เหมือนกับหยดของความสกปรกที่มาแปดเปื้อนต่อพื้นที่มันสะอาดอยู่นี่ มันก็จะแยกกันออกไป มันก็จะเห็น แล้วมันก็ละอาย แล้วมันก็กริ่งเกรงว่าความสกปรกนี้จะแผ่ขยายมากไปขึ้น
สภาพจิตที่เราฝึกกันมาตลอดนี่ไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้ และที่พูดไปเมื่อวานว่า เราเอาไปใช้ในกิริยาประจําวัน ก็ในขณะที่จิตมันนิ่งอยู่ แล้วมันก็รู้ลมรู้กายที่เคลื่อนไหว รู้อิริยาบถ รู้กิริยาที่มันกําลังทําอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันไป อกุศลถึงเกิดไม่ได้ ตัวนั้นมันเป็นธรรมะไปทั้งหมด มันเป็นกุศลไปทั้งหมด ตัวมันเองเป็นกุศล ถ้ามันเกิดอกุศลขึ้นมาแล้วมันครอบงําจิต มันก็เป็นธรรมะนั่นแหละแต่มันเป็นอกุศล มันเป็นอกุศลทันที ครอบงําปั๊บมันกินพื้นที่ความบริสุทธิ์แห่งจิตก็เป็นอกุศลแล้ว ที่มันเป็นอกุศลน่ะเพราะว่ามันเป็นไปด้วยกําลังของอังคณกิเลส ก็คือตัวตัณหา มานะ และทิฏฐิ ดังนั้นสภาพที่เป็นอริยะ สภาวะของความเป็นอริยะมันไม่มีอะไรอื่นเลยนะ พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตที่มันอยู่อย่างอารยชนมันมีลักษณะของมัน ก็คือว่า
ปญฺจงฺควิปฺปหีนตา คือ ไม่อยู่ในอํานาจของนิวรณ์มันตื่นอยู่ แล้วมันก็นิ่งไม่ฟุ้งแล้วก็ไม่สงสัยอะไร ไม่ชอบไม่เกลียดอะไรแล้วก็มันตื่นอยู่
ฉฬงฺคสมนฺนาคตา มันเกิดองค์แห่งอุเบกขา คือ สภาวะที่มันเฉยทั้ง ๖ ทาง มันรู้แต่มันปรุงจิตไม่ได้
สตารกฺขจิตฺตตา จิตมีสติเป็นเครื่องรักษา แล้วทีนี้ถามว่าจิตนั้นมันอยู่ได้อย่างไร มันก็อยู่ด้วยสติที่เป็นเครื่องรักษาจิตอยู่ ก็มันรู้หมดทุกอย่าง รู้นั้นคือเป็นสติ มันไม่ได้ไหลออกไป
จตุราปสฺเสนฺนตา แม้แต่เครื่องใช้ในปัจจัยทั้ง ๔ ขณะที่จิตมันนิ่งอยู่อย่างอิสระมันก็เข้ามาแต่งไม่ได้ เพราะจิตมีสติเป็นเครื่องรักษา เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ที่อาศัย คือมันก็เป็นแค่เครื่องอาศัยของจิต
ปญฺจงฺควิปฺปหีนตา ความเป็นผู้มีทิฏฐิความเห็นที่ตรง ในขณะที่จิตนิ่งอยู่ มีสติเป็นเครื่องรักษาจิตอยู่ แล้วมันเกิดความเห็นอันใดขึ้นมา ความเห็นนั้นมันจะเป็นความเห็นตรงต่อความเป็นจริงที่มันเกิด
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 21-24 ส.ค. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
อานาปานสติที่เราฝึก ตั้งแต่เรื่องการจัดกายให้เรียบร้อย แล้วก็ตั้งสติ แล้วก็ รู้ลมยาวสั้น รู้ลักษณะของลมยาวสั้น คือจิตจะนิ่งอยู่ข้างในแล้วมีสติเข้าไปรับรู้รับทราบสิ่งที่ปรากฏ ณ ขณะนั้น เห็นไหมภาวะทุกอย่างมันหยุด แล้วมันเงียบ มันเหลือแค่จิตที่นิ่งอยู่ข้างในแล้วมีสติรู้ลม พอรู้ลมไปเรื่อย รู้ลักษณะของลมตามความเป็นจริง ไม่เข้าไปแทรกแซงอะไรทั้งนั้น รู้ตรงๆไปตามความเป็นจริง สตินั่นแหละเข้าไปรู้ จิตนิ่งอยู่ข้างใน
“นิ่งอยู่ข้างใน” หมายความว่า มันไม่ไหลเข้าไปในความหมายของสิ่งใด การที่เราเพียรให้จิตนิ่งอยู่ข้างใน แล้วก็รู้กายในกายอย่างนี้ รู้ลมอย่างนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตัวที่นิ่งอยู่ข้างในคือมันนิ่งอยู่ได้นานอย่างมีสติ เราเรียกว่า “นิ่งรู้” จิต ณ ขณะที่มันนิ่งอยู่รู้อยู่นี้เป็นสติปัฏฐาน แล้วตัวที่มันรู้นี้มันแค่รู้ ถ้ามันแค่รู้ปั๊บจิตก็จะมีกําลังในความนิ่งนี้เพิ่มขึ้น และมันก็จะเห็นด้วยสติ สติก็จะเป็นตาของจิต มันก็จะเห็นถึงความเป็นจริงของสิ่งที่มันถูกเห็น โดยที่เราไม่ต้องไปทําอะไรมัน เพราะฉะนั้นมันยั้วเยี้ยไปหมดเลยที่เราเห็น เห็นด้วยตาก็ดี เห็นด้วยใจก็ดี ด้วยการคิดนึก ล้วนออกมาเป็นอะไร? เป็นชื่อหมด การทํางานของกิเลสตัณหานี่มันจะทํางานไปตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า “สามัญชนจะมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง” แต่จิตที่จะเข้าสู่ความสงบมีปัญญาได้มันจะต้องนิ่งอยู่ข้างใน โดยมีสติรู้พวกนั้น สักแต่ว่ารู้ แค่รู้แค่ดูแค่เห็นมัน แล้วก็ฝึกแค่รู้แค่ดูแค่เห็นผ่านทางลมหายใจ มันจึงเป็นอานาปานสติขึ้นมา และนําพาเข้าสู่สติปัฏฐาน และธรรมะทั้งหมดน่ะมันเกิดโดยมีจิตที่นิ่งมีสตินั่นแหละเป็นฐานให้ ถ้าธรรมะทั้งหมดที่มันเกิดที่เรารู้ชื่อมันว่า เช่น หิริ ความละอายแก่ใจ คิดดูสิ “หิริ” นี่เป็นเสียงใช่ไหม? เป็นเสียง “ความละอายแก่ใจ” นั่นคือความหมายของเสียง พอ “หิริ ความละอายแก่ใจ” เข้าใจไหม? เข้าใจ อ๋อ ขึ้นมาทันที แต่มันไม่เป็นธรรมะสําหรับใจ
แต่พอจิตที่มันนิ่งและมีสติอยู่นี่มันสะอาด ตัวบาปที่เป็นเจตนาอันเป็นบาปที่มันโผล่ขึ้นมาในขณะจิตที่นิ่งรู้อยู่นี่ มันเหมือนกับหยดหรือมลทินของความสกปรกที่จะเข้ามาแปดเปื้อนความสะอาด ความไม่ละอายเกิดความรู้สึกอันเป็นบาปเกิดขึ้นมาในท่ามกลางจิตที่นิ่งอย่างบริสุทธิ์อยู่ มันก็เหมือนกับหยดของความสกปรกที่มาแปดเปื้อนต่อพื้นที่มันสะอาดอยู่นี่ มันก็จะแยกกันออกไป มันก็จะเห็น แล้วมันก็ละอาย แล้วมันก็กริ่งเกรงว่าความสกปรกนี้จะแผ่ขยายมากไปขึ้น
สภาพจิตที่เราฝึกกันมาตลอดนี่ไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้ และที่พูดไปเมื่อวานว่า เราเอาไปใช้ในกิริยาประจําวัน ก็ในขณะที่จิตมันนิ่งอยู่ แล้วมันก็รู้ลมรู้กายที่เคลื่อนไหว รู้อิริยาบถ รู้กิริยาที่มันกําลังทําอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันไป อกุศลถึงเกิดไม่ได้ ตัวนั้นมันเป็นธรรมะไปทั้งหมด มันเป็นกุศลไปทั้งหมด ตัวมันเองเป็นกุศล ถ้ามันเกิดอกุศลขึ้นมาแล้วมันครอบงําจิต มันก็เป็นธรรมะนั่นแหละแต่มันเป็นอกุศล มันเป็นอกุศลทันที ครอบงําปั๊บมันกินพื้นที่ความบริสุทธิ์แห่งจิตก็เป็นอกุศลแล้ว ที่มันเป็นอกุศลน่ะเพราะว่ามันเป็นไปด้วยกําลังของอังคณกิเลส ก็คือตัวตัณหา มานะ และทิฏฐิ ดังนั้นสภาพที่เป็นอริยะ สภาวะของความเป็นอริยะมันไม่มีอะไรอื่นเลยนะ พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตที่มันอยู่อย่างอารยชนมันมีลักษณะของมัน ก็คือว่า
ปญฺจงฺควิปฺปหีนตา คือ ไม่อยู่ในอํานาจของนิวรณ์มันตื่นอยู่ แล้วมันก็นิ่งไม่ฟุ้งแล้วก็ไม่สงสัยอะไร ไม่ชอบไม่เกลียดอะไรแล้วก็มันตื่นอยู่
ฉฬงฺคสมนฺนาคตา มันเกิดองค์แห่งอุเบกขา คือ สภาวะที่มันเฉยทั้ง ๖ ทาง มันรู้แต่มันปรุงจิตไม่ได้
สตารกฺขจิตฺตตา จิตมีสติเป็นเครื่องรักษา แล้วทีนี้ถามว่าจิตนั้นมันอยู่ได้อย่างไร มันก็อยู่ด้วยสติที่เป็นเครื่องรักษาจิตอยู่ ก็มันรู้หมดทุกอย่าง รู้นั้นคือเป็นสติ มันไม่ได้ไหลออกไป
จตุราปสฺเสนฺนตา แม้แต่เครื่องใช้ในปัจจัยทั้ง ๔ ขณะที่จิตมันนิ่งอยู่อย่างอิสระมันก็เข้ามาแต่งไม่ได้ เพราะจิตมีสติเป็นเครื่องรักษา เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ที่อาศัย คือมันก็เป็นแค่เครื่องอาศัยของจิต
ปญฺจงฺควิปฺปหีนตา ความเป็นผู้มีทิฏฐิความเห็นที่ตรง ในขณะที่จิตนิ่งอยู่ มีสติเป็นเครื่องรักษาจิตอยู่ แล้วมันเกิดความเห็นอันใดขึ้นมา ความเห็นนั้นมันจะเป็นความเห็นตรงต่อความเป็นจริงที่มันเกิด
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร