นิวรณ์ 5 - นำนั่งสมาธิเบื้องต้น โดย หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย. หากซึ้งคำพ่อได้ สั่งสอน
จงอย่าได้เกี่ยงงอน ค่ำเช้า
ทั้งยืนนั่งเดินนอน หมั่นตรึก
ระลึกถ้อยพุทธเจ้า ย่างก้าวเดินตาม
ตะวันธรรม
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ อากาศกำลังเหมาะสม
ในการเข้าถึงธรรม หลับตาเบา ๆ สบาย ๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของ
ร่างกาย ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี ขยับตัวสบาย ๆ ผ่อนคลาย
ทุกส่วนของร่างกาย อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกร็งนะ
แล้วก็ต้องแก้ที่ติดนิสัยเอาลูกนัยน์ตากดลงไปดู เวลาหลับตา
แค่ปิดเปลือกตา แล้วก็ช้อนตาเหลือกค้างขึ้นไป จะได้ช่วยแก้ที่กด
ลูกนัยน์ตาลงไปดูในท้อง
เราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องใช้ตาเนื้อ เพราะเวลาแสงสว่าง
หรือภาพภายในเกิดขึ้น มันไม่เกี่ยวกับลูกนัยน์ตาเลย แล้วเป็น
ไปไม่ได้ที่ตาเนื้อจะไปเห็นอะไรในท้อง ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ
ตาเนื้อก็เหมาะสำหรับมองวัตถุภายนอก ไม่เหมาะสำหรับจะกด
เข้าไปดูภาพภายใน
ให้สังเกตร่างกายของเรา เขาจะบอกเราเองว่ามันไม่ใช่ คือ
พอคิ้วขมวด มันตึงบริเวณกระบอกตา หน้าผาก เกร็งทั้งเนื้อทั้งตัว
นั่งแล้วรู้สึกเวลามันนานเหลือเกิน หรือรู้สึกเบื่อ ท้อ อย่างนี้ไม่ใช่
แล้ว อย่าฝืนทำต่อนะ ให้รีบปรับใหม่ เริ่มต้นใหม่อย่างง่าย ๆ
เรายอมเสียเวลาเริ่มต้นใหม่บ่อย ๆ ตรงนี้สักนิดหนึ่ง จนกว่าเรา
จะปรับกายและใจเป็น
ถ้าทำเป็นแล้วทุกอย่างก็ไม่ยาก หรือยากไม่มาก มันยากพอ
สู้ คือถ้าสู้แล้วมันก็ไม่ยาก ถ้าเรารู้หลักวิธีการแล้ว มันอยู่ที่ตรงนี้
เพราะว่าพระธรรมกายก็มีอยู่แล้วในตัวของเรา กายภายใน
ก็มีอยู่ ดวงธรรมก็มี แสงสว่างก็มี แต่ว่าความมืดมันมาบดบังใจเรา
ที่เขาเรียกว่า นิวรณ์ แล้วพอเราทำไม่ถูกวิธีไปอีกก็ยิ่งไปกันใหญ่
นิวรณ์ ๕
กามฉันทะ คือ การที่ใจหมกมุ่นเรื่องกามฉันทะ เรื่องเพศ
เรื่องทรัพย์ อะไรต่าง ๆ เหล่านั้น ไปผูกพันมันก็ทำให้ใจไปอยู่กับ
สิ่งนั้น ไม่ได้อยู่ในตัว
พยาบาท คือ ผูกโกรธ ความขุ่นมัว ขัดเคือง
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยว่า เราจะปฏิบัติได้หรือ คนอื่น
เขาปฏิบัติได้จริงหรือ พระรัตนตรัยในตัวมีจริงหรือเปล่า นึกเอาเอง
มั้ง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นต้น
ถีนมิทธะ คือ ความหดหู่ เคลิบเคลิ้ม ความท้อ ความง่วง
เพราะพักผ่อนน้อยบ้าง หรืออาการเซื่องซึมหลังอาหารเพราะเมา
อาหารอย่างนี้เป็นต้น
อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ หมายถึงใจคิด
ไปในเรื่องราวต่าง ๆ ที่คุ้นเคย เรื่องคนสัตว์สิ่งของ หรือถ้าเป็นวิชาการ
เขาก็เรียก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เขาเรียกว่า นิวรณ์ ๕ หรือความมืดที่มา
บดบังใจเราเหมือนดวงตะวันมีอยู่ แต่มีหมู่เมฆดำทะมึนมาบดบังเอาไว้
เราจึงมองไม่เห็นดวงตะวัน ภายในใจของเราก็มีนิวรณ์ ๕ มาบดบัง
ไม่ให้เราเห็นแสงสว่างภายใน ดวงธรรม กายภายใน กระทั่ง
พระธรรมกาย
แต่ความมืดนี้จะแพ้ใจที่หยุดนิ่ง คือถ้าเราสามารถรวมใจได้
สามารถดึงใจออกมาจากความสับสนวุ่นวาย จากความผูกพันและ
หมกมุ่นในเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน ครอบครัว การศึกษา
เล่าเรียน
ประการแรก ดึงใจกลับมาอยู่ในตัวก่อน ตรงกลางท้องแถว ๆ
บริเวณนั้น ถ้าใครมั่นใจว่าไม่ฟุ้ง ก็อยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องกำหนด
นิมิตเป็นภาพ ทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าใครเป็นคนชอบฟุ้ง เราก็
กำหนดเป็นภาพแทน เพื่อจะได้เป็นเครื่องหมายว่า ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ อยู่แถว ๆ ท้องตรงนี้ เราจะกำหนดเป็นดวงใส ๆ หรือ
พระแก้วใส ๆ หรือภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ของเราก็ได้
อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งแทนพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นวัตถุอันเลิศอันบริสุทธิ์สูงส่ง ให้เป็นประดุจหลักของใจ
ผูกเอาไว้ให้สติอยู่ตรงนี้
นึกถึงศูนย์กลางกายวันละ ๒ เวลา
ให้เรานึกถึงศูนย์กลางกายบ่อย ๆ จะมีภาพหรือไม่มีภาพก็
ไม่เป็นไร ให้ใจเราอยู่ในท้อง ตามการบ้านที่ให้ไว้ในโรงเรียนอนุบาลฯ
นั่นแหละ ถ้าทำบ่อย ๆ ใจก็จะคุ้น
เพื่อนต่างศาสนิกอิสลามิกชนที่เคร่งครัด เขายังทำละหมาด
วันละ ๕ ครั้ง คือใจระลึกนึกถึงพระผู้เป็นเจ้าที่เขาเคารพสูงสุดถึง
วันละ ๕ ครั้ง เขายังทำกันได้ แต่เรานั้นสามารถทำละหมาดได้ตลอด
เวลา คือ ทำแค่ ๒ ครั้ง หลับตากับลืมตา หลับตาก็ทำที ลืมตา
ก็ทำที หรือหายใจเข้าก็ทำที หายใจออกก็ทำที ของเรา ๒ คราว
ของเขา ๕ ขอยืมคำว่าละหมาดของเพื่อนต่างศาสนิกมาสมมติ
ใช้ ก็แปลว่าเอาใจของเรามาเก็บไว้ภายในกลางท้อง ผูกพันไว้กับ
พระรัตนตรัย โดยเริ่มต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ พอใจหยุดจริง ๆ แล้ว
ทั้งสามจะรวมที่เดียวกัน เหมือนเราเอาของ ๓ อย่าง ใส่ไว้ในกระเป๋า
อย่างนั้นแหละ มันอยู่ที่เดียวกัน
ตอนนี้เราก็นึกทีละอย่าง จะนึกถึงดวงก่อนก็ได้ องค์พระก่อน
ก็ได้ นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ก่อนก็ได้ สมมติเรานึกถึงดวง
พอใจหยุดจริง ๆ เดี๋ยวก็ได้พระรัตนตรัยทั้งสาม เพราะฉะนั้นเรามา
เริ่มต้นทำให้ถูกต้องกันเสียก่อน
ถ้าทำถูกตั้งแต่ต้น ท่ามกลางหรือเบื้อ