พออนุโลมปฏิโลมถูกส่วนเข้า ก็เห็นทีเดียวว่า อ้อ..สัตว์โลกนี่เป็น
ทุกข์ละ เห็นทุกข์ละนะ นี่ทางปฏิบัติเห็นทุกข์ละ
ตาธรรมกายเห็นอายตนะที่ดึงดูดของสัตว์โลก เขาเรียกว่าโลกายตนะ
อ้อ..มนุษย์นี่เกิดขึ้นไม่ใช่อื่นเลย ความเกิดนี่ อายตนะของโลกเขา
ดูดนะ ก็เห็นอายตนะทีเดียว มนุษย์นี่ก็มีอายตนะอยู่อันหนึ่ง เราเคยค้นพบ
เรารู้จักแล้ว อายตนะของมนุษย์รู้จักกันทั่วแหละ อายตนะของมนุษย์ ที่เรา
ติดอยู่ก็ติดอายตนะนั่นแหละ มันดึงดูด
อายตนะอยู่ที่ไหน? ที่บ่อเกิดของมนุษย์
อายตนะเขาแปลว่า บ่อเกิด บ่อเกิดมันอยู่ที่ไหน?
นั่นแหละเป็นตัวอายตนะของมนุษย์ทีเดียว
อายตนะของทิพย์ละ มันมีมากด้วยกันนี่
อายตนะกำเนิดของสัตว์มีถึง ๔ อัณฑชะ สังเสทชะ ชลาพุชะ โอปปาติกะ
อัณฑชะเกิดด้วยฟองไข่
สังเสทชะ เกิดด้วยเหงื่อไคล
ชลาพุชะ เกิดด้วยน้ำ อายตนะที่ว่านี้เป็นชลาพุชะ เกิดด้วยน้ำ
โอปปาติกะ ลอยขึ้นบังเกิด เอากันละคราวนี้
อัณฑชะ เกิดด้วยฟองไข่ เป็ด ไก่ ทั้งนั้น เป็นอายตนะอันหนึ่ง
สังเสทชะ เหงื่อไคล เป็นอายตนะอันหนึ่ง สำหรับเหนี่ยวรั้งใจให้
สัตว์เกิด นั่นเป็นอายตนะสำหรับบ่อเกิด
ชลาพุชะมีน้ำสำหรับเป็นอายตนะให้เกิด
โอปปาติกะ อายตนะของจาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต
นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี นี่เป็นอายตนะของทิพย์ทั้งนั้น มีอายตนะดึงดูด
ให้เกิดเหมือนกัน
ไม่ใช่เท่านั้น อายตนะที่ทรามลงไปกว่านี้ อายตนะให้เกิดเป็นสัตว์
เดรัจฉาน คล้ายมนุษย์เหมือนกัน อายตนะให้เกิดเป็นอสุรกาย แบบเดียวกันกับมนุษย์
อายตนะเกิดเป็นเปรต แบบเดียวกันมนุษย์
อายตนะในอบายภูมิทั้ง ๔ สัญชีพ กาฬสูตตะ สังฆาฎะ โรรุวะ
มหาโรรุวะ ตาปะ มหาตาปะ อเวจีนรก
นรกทั้ง ๘ ขุมใหญ่นี้ ขุมหนึ่ง ๆ มีอุสสทนรกเป็นบริวารล้อมรอบ ๔
ด้าน ๆ ละ ๔ ขุม เป็น ๑๖ ขุม แล้วมียมโลกนรก ตั้งอยู่ในทิศทั้ง ๔ ทิศ ๆ ละ
๑๐ ขุม เป็น ๔๐ ขุม
นรกทั้ง ๔๕๖ ขุมเป็นอายตนะดึงดูดสัตว์โลกทั้งนั้น
เมื่อทำดีทำชั่วไป ถูกส่วนเข้าแล้ว อายตนะของนรกก็ดึงเป็นชั้น ๆ
ดูดเป็นชั้น ๆ ต้องไปติด ใครทำอะไรเข้าไว้ อายตนะมันดึงดูดไปติด
ฝ่ายธรรมกายไปเห็นก็ อ้อ..สัตว์โลกมันติดอย่างนี้เอง ติดเพราะ
อายตนะเหล่านี้ อ้ายที่มาเกิดเหล่านี้ใครให้มาเกิดละ
อ้ายที่มาเกิดเป็นอบายภูมิทั้ง ๔ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ชั้นนี้
ใครให้เกิดละเห็นทีเดียวแหละ เห็นทีเดียว ทุกฺข สมุปฺปาทํ ตณฺหา
ตัณหานี่แหละเป็นแดนให้เกิดพร้อมทีเดียว