
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 19-22 มิ.ย. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
สรุปการปฏิบัติในคอร์สนี้
๑) ดูอารมณ์ ดูความคิด โดยไม่ต้องเข้าฐาน เป็นการปฎิบัติในระหว่างวัน ในยามที่เราไม่ได้อยู่ในรูปแบบ เพื่อที่จะให้นําไปใช้เมื่อออกไปจากคอร์สแล้ว กลับไปอยู่ในชีวิตปกติ เมื่อใดรู้ตัวว่ามันมีอารมณ์/มันมีความคิด คือ อารมณ์มันกําลังเป็นอยู่ ความคิดกําลังเกิดอยู่ ถ้ารู้ตัวอย่างนั้นได้ก็ดูมัน ดูมันเลย เมื่อใดที่มีการดูความคิดหรืออารมณ์อยู่ในฐานะเป็นสิ่งที่ถูกดู มีการดูเกิดขึ้น ตัวดูมันจะกั้นจิตเข้ามาไว้ เพราะฉะนั้นตรงนี้เราไม่ต้องเข้าไปสู่ฐาน เพราะพอเราเข้าสู่ฐานปั๊บ มันรู้ลมแล้วตัวอารมณ์กับตัวความคิดมันหายไป เพราะปัจจัยของความคิด/ปัจจัยของอารมณ์มันถูกตัด มันเป็นจังหวะห่างหน่อยเดียวเท่านั้นเอง อารมณ์และความคิดมันก็หายไป มันไม่อยู่ในสภาพที่จะถูกดูได้ อันนี้คือสิ่งที่ต้องนําไปใช้ปฏิบัติข้างนอกเมื่อกลับไปที่บ้านแล้ว เมื่อใดที่รู้ตัว ไม่รู้ตัวช่างมัน แต่เมื่อใดที่รู้ตัวว่ามันกําลังคิดอยู่/มันมีอารมณ์อยู่นี่ดูมัน
๒) ก็คือเพื่อให้อันที่ ๑ มันเข้มข้น มีผลมากขึ้น คือต้องกล้าหาญ ต้องอาจหาญกล้าหาญองอาจในการที่จะดูมัน บางทีมันมีความคิด/มันมีอารมณ์ มันรู้ตัวแล้วว่ามันมีความคิด/รู้ตัว แล้วว่ามันมีอารมณ์แต่ว่ามันมีกําลังไม่พอในการที่จะดู แล้วจิตมันก็ไหลเข้าไปปรุงแต่งในความคิดนั้นไปเรื่อยๆ ปรุงอยู่ในอารมณ์นั้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้เราต้องกล้า พอมันรู้แล้วถ้ามันดูไม่ได้ มันต้องเพิ่มกําลังให้หัวใจ คือ สกฺโก หมายความว่าต้องทําให้มันองอาจ กล้าหาญแกล้วกล้าในการที่จะดูมัน และดูมันแบบตรงๆ ตรงอย่างดี ดูตรงๆ คือว่าดูที่มันเป็นก้อนอารมณ์ ไม่ได้ดูที่ เหยื่อของอารมณ์ ถ้ามันสลับเหวี่ยงไปก็เพียงแค่รู้ แล้วก็ดูไปที่ก้อนอารมณ์นั้น ดูไปที่ความคิดนั้น บางทีไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่ามันคิดเรื่องอะไร ไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่าอารมณ์เกิดขึ้นเพราะอะไร แค่ดูมันเฉยๆ แต่ถ้ามันรู้ขึ้นมาจากการที่ดูเฉพาะก้อนอารมณ์หรือความคิด ถ้ามันรู้ขึ้นมาว่ามันเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นของแถมในขณะที่รู้ไป แต่ว่าดูในขณะที่มันเกิด ไม่ต้องเข้าไปสู่ฐาน ถ้าเข้าสู่ฐานแล้วมันดูไม่ได้ เพราะฉะนั้น ๒ ข้อนี้มันเกื้อกัน บางทีเรามันรู้ตัวแล้วแต่ว่ามันมีกําลังไม่พอที่จะดู มันทําท่าจะดูแต่ว่ามันกลายเป็นหลงไป เข้าไปปรุง เข้าไปแช่ เข้าไปต่อยอดให้กับความคิดกับอารมณ์นั้นเสีย ก็เลยไม่ได้ดู ตรงนี้มันต้องใช้ความกล้าในการที่จะดูมันอย่างเด็ดขาด เรียกว่าใช้ความเด็ดขาดนั่นแหละ ดูไปแบบตรงๆ
๓) ที่เราอยู่ในที่นี่ก็คือว่ารู้ลม รู้ลมนี่ให้ถือเป็นวาระสําคัญของชีวิต รู้ไปเถอะ เพราะว่าเราบ่มกันมาตั้งแต่นิมิต ลมกระทบออก ลมกระทบเข้า คือในบริบทของการรู้ลมในรายละเอียดนั้น ในคณะของเรานี่มันลงใจหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเพียงแค่พูดถึงว่า แค่มันนึกขึ้นได้แล้วมันรู้ลมนี่ มันจะตรง ๙๐ เปอร์เซนต์ มันไม่ต้องไปนึกถึงว่า “หายใจเข้าให้สุด หยุดลมหายใจไว้ ปล่อยลมหายใจออก รู้ลมที่กระทบออก ตั้งแต่ต้นลม กลางลม ปลายลม จนสุดลมหายใจที่ไหลออก” นี่ไม่ต้องแล้ว เพราะว่าในบริบทพวกนี้ รายละเอียดพวกนี้ เราฟัง ทำจนชํานาญ เว้นแต่บางคนนะบางคนไม่เคยผ่านการบ่มพวกนี้มา ที่เราบ่มกันอย่างนี้ และเรื่องอุปกิเลสในการรู้ลมมันมีอุปกิเลสอย่างไร ถ้าใครสงสัยก็ไปเปิดฟังได้มีบรรยายชุดอุปกิเลสในอานาฯมีหลายชุดอยู่ ทั้งในอาคารธรรมฯก็มีแยกไว้และใน Spotify มีอยู่ แต่ส่วนใหญ่นี่เข้าใจหมดแล้ว เพราะฉะนั้นแค่พอนึกขึ้นได้แล้วก็รู้ลม รู้ลม นี่มันจะตรง ๙๐ เปอร์เซนต์ ของคณะพวกเรานี่เรียกว่าไม่มีผิดพลาดในเรื่องของการรู้ลม ถือว่าเป็นวาระที่สําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่มความเข้มข้นของมันขึ้นมา จากการที่มันอยู่เฉยๆแล้วก็รู้ลม ต่อไปเราก็อาจจะเพิ่มขึ้นมาว่า ทํางานในชีวิตประจําวันนี่ ทํางานไปด้วยแล้วรู้ลมได้ด้วย เพื่อให้เห็นธรรมชาติของสติที่บริสุทธิ์ว่ามันมีกําลังกว้างมากตามฐานของจิตที่มันตั้งมั่นอยู่
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน
#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 19-22 มิ.ย. 68 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
สรุปการปฏิบัติในคอร์สนี้
๑) ดูอารมณ์ ดูความคิด โดยไม่ต้องเข้าฐาน เป็นการปฎิบัติในระหว่างวัน ในยามที่เราไม่ได้อยู่ในรูปแบบ เพื่อที่จะให้นําไปใช้เมื่อออกไปจากคอร์สแล้ว กลับไปอยู่ในชีวิตปกติ เมื่อใดรู้ตัวว่ามันมีอารมณ์/มันมีความคิด คือ อารมณ์มันกําลังเป็นอยู่ ความคิดกําลังเกิดอยู่ ถ้ารู้ตัวอย่างนั้นได้ก็ดูมัน ดูมันเลย เมื่อใดที่มีการดูความคิดหรืออารมณ์อยู่ในฐานะเป็นสิ่งที่ถูกดู มีการดูเกิดขึ้น ตัวดูมันจะกั้นจิตเข้ามาไว้ เพราะฉะนั้นตรงนี้เราไม่ต้องเข้าไปสู่ฐาน เพราะพอเราเข้าสู่ฐานปั๊บ มันรู้ลมแล้วตัวอารมณ์กับตัวความคิดมันหายไป เพราะปัจจัยของความคิด/ปัจจัยของอารมณ์มันถูกตัด มันเป็นจังหวะห่างหน่อยเดียวเท่านั้นเอง อารมณ์และความคิดมันก็หายไป มันไม่อยู่ในสภาพที่จะถูกดูได้ อันนี้คือสิ่งที่ต้องนําไปใช้ปฏิบัติข้างนอกเมื่อกลับไปที่บ้านแล้ว เมื่อใดที่รู้ตัว ไม่รู้ตัวช่างมัน แต่เมื่อใดที่รู้ตัวว่ามันกําลังคิดอยู่/มันมีอารมณ์อยู่นี่ดูมัน
๒) ก็คือเพื่อให้อันที่ ๑ มันเข้มข้น มีผลมากขึ้น คือต้องกล้าหาญ ต้องอาจหาญกล้าหาญองอาจในการที่จะดูมัน บางทีมันมีความคิด/มันมีอารมณ์ มันรู้ตัวแล้วว่ามันมีความคิด/รู้ตัว แล้วว่ามันมีอารมณ์แต่ว่ามันมีกําลังไม่พอในการที่จะดู แล้วจิตมันก็ไหลเข้าไปปรุงแต่งในความคิดนั้นไปเรื่อยๆ ปรุงอยู่ในอารมณ์นั้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้เราต้องกล้า พอมันรู้แล้วถ้ามันดูไม่ได้ มันต้องเพิ่มกําลังให้หัวใจ คือ สกฺโก หมายความว่าต้องทําให้มันองอาจ กล้าหาญแกล้วกล้าในการที่จะดูมัน และดูมันแบบตรงๆ ตรงอย่างดี ดูตรงๆ คือว่าดูที่มันเป็นก้อนอารมณ์ ไม่ได้ดูที่ เหยื่อของอารมณ์ ถ้ามันสลับเหวี่ยงไปก็เพียงแค่รู้ แล้วก็ดูไปที่ก้อนอารมณ์นั้น ดูไปที่ความคิดนั้น บางทีไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่ามันคิดเรื่องอะไร ไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่าอารมณ์เกิดขึ้นเพราะอะไร แค่ดูมันเฉยๆ แต่ถ้ามันรู้ขึ้นมาจากการที่ดูเฉพาะก้อนอารมณ์หรือความคิด ถ้ามันรู้ขึ้นมาว่ามันเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นของแถมในขณะที่รู้ไป แต่ว่าดูในขณะที่มันเกิด ไม่ต้องเข้าไปสู่ฐาน ถ้าเข้าสู่ฐานแล้วมันดูไม่ได้ เพราะฉะนั้น ๒ ข้อนี้มันเกื้อกัน บางทีเรามันรู้ตัวแล้วแต่ว่ามันมีกําลังไม่พอที่จะดู มันทําท่าจะดูแต่ว่ามันกลายเป็นหลงไป เข้าไปปรุง เข้าไปแช่ เข้าไปต่อยอดให้กับความคิดกับอารมณ์นั้นเสีย ก็เลยไม่ได้ดู ตรงนี้มันต้องใช้ความกล้าในการที่จะดูมันอย่างเด็ดขาด เรียกว่าใช้ความเด็ดขาดนั่นแหละ ดูไปแบบตรงๆ
๓) ที่เราอยู่ในที่นี่ก็คือว่ารู้ลม รู้ลมนี่ให้ถือเป็นวาระสําคัญของชีวิต รู้ไปเถอะ เพราะว่าเราบ่มกันมาตั้งแต่นิมิต ลมกระทบออก ลมกระทบเข้า คือในบริบทของการรู้ลมในรายละเอียดนั้น ในคณะของเรานี่มันลงใจหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเพียงแค่พูดถึงว่า แค่มันนึกขึ้นได้แล้วมันรู้ลมนี่ มันจะตรง ๙๐ เปอร์เซนต์ มันไม่ต้องไปนึกถึงว่า “หายใจเข้าให้สุด หยุดลมหายใจไว้ ปล่อยลมหายใจออก รู้ลมที่กระทบออก ตั้งแต่ต้นลม กลางลม ปลายลม จนสุดลมหายใจที่ไหลออก” นี่ไม่ต้องแล้ว เพราะว่าในบริบทพวกนี้ รายละเอียดพวกนี้ เราฟัง ทำจนชํานาญ เว้นแต่บางคนนะบางคนไม่เคยผ่านการบ่มพวกนี้มา ที่เราบ่มกันอย่างนี้ และเรื่องอุปกิเลสในการรู้ลมมันมีอุปกิเลสอย่างไร ถ้าใครสงสัยก็ไปเปิดฟังได้มีบรรยายชุดอุปกิเลสในอานาฯมีหลายชุดอยู่ ทั้งในอาคารธรรมฯก็มีแยกไว้และใน Spotify มีอยู่ แต่ส่วนใหญ่นี่เข้าใจหมดแล้ว เพราะฉะนั้นแค่พอนึกขึ้นได้แล้วก็รู้ลม รู้ลม นี่มันจะตรง ๙๐ เปอร์เซนต์ ของคณะพวกเรานี่เรียกว่าไม่มีผิดพลาดในเรื่องของการรู้ลม ถือว่าเป็นวาระที่สําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่มความเข้มข้นของมันขึ้นมา จากการที่มันอยู่เฉยๆแล้วก็รู้ลม ต่อไปเราก็อาจจะเพิ่มขึ้นมาว่า ทํางานในชีวิตประจําวันนี่ ทํางานไปด้วยแล้วรู้ลมได้ด้วย เพื่อให้เห็นธรรมชาติของสติที่บริสุทธิ์ว่ามันมีกําลังกว้างมากตามฐานของจิตที่มันตั้งมั่นอยู่
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน
#ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร