การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
วิธีตรวจสอบว่าเรามีความเข้าใจต่อการปฏิบัตินี้ได้แค่ไหน ต้องตอบคําถาม 3 ข้อให้ตรง ดูว่าเรามีสภาวะนั้นไหม คือ
- เข้าถึงกายใจที่แท้ กายใจที่แท้ หมายถึง กายจริงๆที่ฝ่าความรู้ ความจํา ความเชื่อ ที่มีอยู่แต่เดิม ผ่านชื่อ สกุล เพศ ฐานะ เพราะกายแท้ๆนี้ พอเข้าไปตั้งปั๊บอยู่ที่กายแท้ๆนี้ มันไม่มีชื่อ สกุล ฐานะ เพศ คือ กายเฉยๆวางไว้ตรงนี้ ท่านใช้ศัพท์สําหรับที่ให้ตัวจิตไปอาศัยกายแท้ๆตรงนี้ว่า นิมิต นิมิตก็แค่ศัพท์บัญญัติ เป็นชื่อที่บัญญัติสําหรับมาสื่อสารกัน ไม่ได้มีสาระตรงนี้ ต้องลึกลงไปกว่าคําว่านิมิต จึงจะเป็นกายแท้ๆ พอเป็นกายแท้ๆแล้ว อยู่ตรงนี้แล้ว รู้ที่ว่านี้มันคือตัวนาม นามคือตัวจิต แต่เราจะเข้าไปถึงตัวจิตแท้ๆทันทีไม่ได้ ต้องให้ตัวจิตในฐานะตัวรู้อาศัยกายแท้ๆอยู่ก่อน แล้วเอารู้ตัวนี้ รู้ที่ทําหน้าที่รู้กายแท้ๆก่อน อาการของกายก็จะแสดงออกมาก็แค่รู้ แล้วเดี๋ยวอาการของจิตก็จะแสดงออกมา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม ก็คือตัวใจ แต่มันแสดงอาการออกมาในลักษณะของเวทนา สัญญา สังขาร เป็นความรู้สึกนึกคิด เกิดขึ้นข้างใน ความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นพร้อมกับจิตพร้อมกับใจ ภาษาบาลีศัพท์ทางธรรมะเขาเรียก เจตสิก แต่เราก็อย่าไปจํา วุ่นวาย เราเอาที่ภาษาไทยที่เราสามารถเข้าถึงได้โดยตรง คือ ความรู้สึกนึกคิด ตัวรู้ที่รู้เข้าถึงกายแท้ๆ แค่รู้ต่อสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้น เนื่องจากว่ารู้ไปนิ่งรู้เฉยอยู่ที่กายส่วนนี้ สิ่งที่เขาจะเห็นการแรกเลย ที่จะรู้ได้คือ ลมหายใจ ลมหายใจที่พระพุทธเจ้าใช้เป็นตัวแรกสําหรับการที่จะเข้าถึงกายใจแท้ๆ เพื่อที่จะบ่มความตั้งมั่นอันเนื่องจากสติที่บริสุทธิ์ พอเข้าถึงกายใจแท้ๆแล้ว ตัวรู้ที่วางอยู่นี้เขารู้ลมไปเรื่อยๆ ลมเป็นอาการการแสดงออกของกาย และมันแสดงเยอะมากนะลม สังเกตไหมว่าตัวรู้ที่รู้อยู่ตรงนี้ รู้ลมตรงนี้แต่มันเห็นการสั่นสะเทือนของกาย ความกระเพื่อมของกายไปถึงหน้าอกลงไปถึงท้อง แต่เห็นไหมรู้ยังอยู่ที่นี่ สติที่เข้าไปรู้ลมนั้นจะทําให้เกิดความตั้งมั่นอยู่ที่ฐานของรู้ ไม่ต้องทําอะไร รู้ไปเรื่อยๆ รู้ลมไปเรื่อยๆ เราก็แค่รู้แค่เห็นมันต่อไปเรื่อยๆ รู้จะมีกําลังขึ้นมา นี่คือกายแท้ๆ รู้อาศัยนิมิตรู้นิ่งเฉยอยู่เข้าไปถึงกายแท้ๆ เพราะว่ามันไม่ได้มีชื่อเรียกอะไร ไม่ได้มีสัญญาไปปรุงแต่งอะไร แค่รู้วางอยู่ต่อไปมันก็จะไปเห็นจิตหลุดออกไปคิด เห็นเวทนา เห็นความรู้สึกนึกคิดในส่วนของอดีต เห็นความจํา หรือเรื่องที่กําลังมุ่งหวังจะทําในอนาคต เรื่องราวของจินตนาการ เรื่องราวของความคิด ซึ่งเรียกรวมลงในนี้ว่า เห็นความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดนี่เป็นเรื่องอาการของใจแล้วทีนี้ พอเราเห็นความรู้สึก ความรู้สึกเกิดขึ้นปั๊บ ตัวรู้ที่อยู่นี้ก็ไปเห็นความรู้สึก แค่เห็นความรู้สึก แค่รู้ต่อมัน ไม่ไหลลงไปกับความรู้สึกที่ปรากฏแล้วไปปรุงแต่งแช่ต่อ หมกมุ่นจนกลายมาเป็นอารมณ์อื่นๆ ถ้าอย่างนั้นรู้นี้จะหลุดออกไป ทําหน้าที่แค่รู้ แค่รู้ว่ามันเกิดขึ้น รู้นี้จะตรงเข้าไปสู่กาย สู่ใจแท้ๆ
- นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระ นิ่งรู้ หมายความว่า รู้นิ่งๆ รู้อยู่นิ่งๆ เฉยอยู่ไม่ปรุงแต่งอะไร ไม่หวั่นไหวไปกับอะไร มีอะไรมากระทบมาก็ไม่หวั่นไหวไปกับมัน เฉยๆ อย่างอิสระ ไม่มีเราเข้าไปแทรกแซงในรู้ หมายความว่า เราจะต้องไปวางรู้นี้ วางให้มันอย่างนี้ ขยับไปจับอยู่ตรงนี้ อย่าให้มันหลุดออกไปทางซ้าย ทางขวา อย่าให้ถลำลึกลงไปข้างใน อย่าให้ลงไปข้างหน้า อย่างนี้เรียกว่าเข้าไปแทรกแซงไม่อิสระ นิ่งรู้เฉยๆอยู่อย่างอิสระ ก็รู้นิ่งๆเฉยอย่างอิสระ เฝ้าอยู่ตรงนี้ พอลมมาก็รู้ พอรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวรู้ก็จะกระจายตัวมันเองออกไปตามกําลังของความตั้งมั่นที่บ่มขึ้นมาจากสติที่บริสุทธิ์
- รู้ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรื่องรู้ ดูสิ่งที่ถูกรู้อันแรกคือ ลมหายใจ ลมหายใจออกเรารู้อย่างไร ที่เดียวหรือว่าวิ่งตาม แต่ในความรู้สึกที่เป็นสภาวะ หมายความว่า มันจะรู้เฉพาะลมที่มากระทบ ลมที่สัมผัสแตะกับพื้นผิวของบริเวณกายที่เป็นจมูกหรือริมฝีปากส่วนนี้ ถ้าตัวรู้รู้ลมที่มาสัมผัสกับผิวกายที่เป็นกายประสาท และตัวรู้รู้ต่อลมนั้นตรงๆ ลมนั้นเป็นลมที่เป็นธรรมชาติ แม้ว่ามันเกิดจากการที่เราตั้งใจหายใจ แต่ตัวรู้จะไม่สนใจเรื่องการตั้งใจหายใจ ลมที่กระทบคือ สิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติ เพราะมันเป็นความจริงที่ตัวรู้เข้าไปรับรู้ได้ เกิดจากเหตุปัจจัยไม่ได้เกิดจากเรา เกิดจากเหตุปัจจัยเกิดจากตามธรรมชาติของเขาที่มีเหตุและปัจจัยเกิดขึ้น รู้ที่ตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติของเขา คือ มันมีเหตุและปัจจัยก่อให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่เรา อย่างนี้เรียกว่า ลมที่เป็นธรรมชาติ ให้รู้ลมนั้น