
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 26-28 พ.ค. 66 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.
ณ สถานปฏิบัติธรรมวชิรญาณ ๒๐๐ ปี วัดบวรนิเวศ
นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นั่งนิ่ง ทำกายนิ่ง แล้วดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า นั่นคือการเข้ากระบวนการปลดปล่อยตัวรู้ออกมาจากอวิชชากับโมหะ ถ้าให้ตัวรู้ถูกอวิชชาห่ออยู่ เมื่อเกิดการกระทบ ก็จะเป็นสังขาร เป็นวิญญาณ เป็นนามรูป จนสุดที่ทุกข์ แต่พอเข้าสู่กระบวนการปลดปล่อยตัวรู้ ให้ออกมาอย่างอิสระ ด้วยกลไกที่ถูกต้องอันเป็นภายใน ลองพิจารณาดูว่า คราใดที่เรานั่ง ตั้งกายตรง ทำกายนิ่ง ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า ตัวรู้จะออกมาจากอำนาจของอวิชชา แต่ออกมาแบบอ่อนๆ เหมือนเอาขนมล่อเด็กน้อย ในทางปฏิบัติ แม้แต่คำเดียวก็ละเลยไม่ได้ มันเป็นตัวปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติ ที่เป็นเสมือนกับกลไลที่ซ้อนกันอยู่ ละเมิดไม่ได้เลย ทิ้งไม่ได้เลย ข้ามไม่ได้เลย และถ้าเราไม่อิงพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อำนาจของตัวรู้ที่ถูกอวิชชาห่ออยู่ มันจะรังแต่จะพาเราไป ยิ่งพอเข้าไปสู่สังขารปรุงแต่งเข้าไปแล้ว ความเชื่อก็อยู่ในนั้น ความเห็นผิดก็อยู่ในนั้น ความดื้อด้านก็อยู่ในนั้น ความทะยานอยากก็อยู่ในนั้น อะไรอะไรก็อยู่ในนั้น การที่จะหลวมตัวหลงตนเข้าไปคว้า เข้าไปจับ เข้าไปหยิบ เข้าไปฉวย สิ่งที่ผิดๆ ทำให้เกิดการปฏิบัติแบบผิดๆ เพิ่มพูนความเชื่อแบบผิดๆ มันง่ายมาก
2 บรรทัดที่พูด ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า นั่งคู้บังลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีมาก มันคือกระบวนการที่จะให้รู้ออกมาเป็นอิสระ แน่นอนที่สุด กายต้องสงบนิ่งก่อน และให้ตัวรู้เข้าสู่สภาวะที่กายสงบนิ่งนั้น ต้องอยู่ในอิริยาบทนั่ง จะเป็นตัวเริ่มต้นที่ดีที่สุด เพราะถ้าในอิริยาบถอื่น ไม่กายแกว่ง ใจก็แกว่ง เช่นในอิริยาบทเดิน กายไม่นิ่ง ในอิริยาบทยืน กายก็แกว่ง ในอิริยาบทนอน ใจมันแกว่ง มันจะทำให้เกิดความรู้ตัวไม่ได้ คือได้เหมือนกันแต่มันยาก ท่านจึงให้เริ่มในอิริยาบทนั่ง พอเริ่มในอิริยาบทนั่ง จากการที่เราเดิน เดิน เดิน มาถึงนั่ง แล้วก็ทำฐานให้เป็นบัลลังก์ ว่านั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง มันก็เกิดความสงบนิ่งขึ้นมา พอเกิดการสงบนิ่งของกายขึ้นมา ท่านก็บอกว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา คือ เอาผู้รู้ออกมาโดยอาศัยสติสัมปชัญญะ นำตัวรู้ออกมาโดยอาศัยสติสัมปชัญญะ ออกมาก็ไม่ให้ออกมาไกล ออกมาอยู่ข้างใน ไม่ได้ออกไปอยู่ที่ไหน ออกมาอยู่ตรงสิ่งซึ่งถูกรู้คือกาย ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า ตัวรู้ออกมา ออกมานี้หมายความว่า ออกมาจากอวิชชานะ ออกมาจากการรัดรึง ออกมาจากการมัด ออกมาจากการหุ้มห่อ แล้วก็มีสติสัมปชัญญะเป็นตัวบอก ให้รู้ว่าตัวรู้ตื่นขึ้นมาจากอวิชชา ณ ขณะนั้น แล้วให้ทำหน้าที่รู้สิ่งอันเป็นภายในซึ่งชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกรู้ การรู้ต่อสิ่งอันเป็นภายในซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้อย่างต่อเนื่องตรงไปตรงมา จะเพิ่มกำลังให้กับรู้ จากเป็นเด็กอ่อนก็จะค่อยๆแข็งแรงขึ้น ตัวที่จะทำให้เข้าใจว่าตัวรู้ ซึ่งออกมาจากอวิชชายื้ออยู่กับโมหะ จากเป็นเด็กอ่อนขึ้นมาแข็งแรงได้ คือตัวความตั้งมั่น ตัวรู้กับตัวความตั้งมั่น โตขึ้นมาทำให้กายสงบนิ่ง ตัวรู้ก็จะมีกำลังในการที่จะไปรู้เวทนา มีกำลังที่จะไปรู้ความคิด มีกำลังที่จะไปรู้จิต มีกำลังที่จะไปรู้สภาพธรรมต่างๆที่เคลื่อนไหวอยู่ เช่น รู้นิวรณ์ โพชฌงค์ อริยสัจ ธรรมต่างๆ ขันธ์ 5 ในฐานะที่เป็นขันธ์ เราแค่ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอน อย่าไปให้มันไม่ตรง อย่าไปให้มันไหลไปกับความหวัง อย่าให้ไปอินอยู่กับคำว่าบุญ อย่าให้ไปจมปลักอยู่กับสัญญาเดิมๆที่เราเคยเรียนเคยรู้มา ตรงแค่นี้ เอาแค่ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่านั่งก็นั่ง กายตรงก็กายตรง ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า คือ เอาตัวรู้ออกมาและกำกับด้วยสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ พอตัวรู้มีความระลึกรู้เกิดขึ้น แสดงว่าเขาเดินออกมาจากอวิชชา แต่เดินมาแบบอ่อนๆ เดินมาแบบเด็กอ่อน เด็กเล็ก ที่ยังเป็นเด็กอยู่ เอาขนมล่อมาก็ออกมาเหมือนกัน เมื่อให้ตัวรู้ตัวนี้ โดยมีสติสัมปชัญญะ และสำคัญที่สุดต้องรู้ภายใน คือรู้กายรู้ใจของตนเอง จะไปรู้ใจทันทีในขณะที่รู้ยังอ่อนอยู่นั้นยาก ก็รู้กาย กายที่รู้ได้ง่าย ดี และตรง อิสระที่สุด คือลมหายใจ นั่งตัวตรง รู้เฉพาะหน้า เอาตัวรู้ รู้ลมกระทบตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า พอตัวรู้นี้มีลมเป็นวิหาร มีลมเป็นเครื่องอยู่ มันจบแล้วลม ก่อนที่ลมหายใจจะเป็นเครื่องอยู่ ตัวรู้เขารู้ลมหายใจจบในกระบวนการของลม หมดทุกแง่ทุกมุม ทั้งลมยาว ลมสั้น ลมละเอียด ลมปราณีต ลมหยุด หมด ในขณะที่ตัวรู้ศึกษาลมอยู่นั้น ความตั้งมั่นกับตัวรู้ก็จะค่อยๆโตขึ้นมา เหมือนเด็กน้อยที่กินขนมนมเนย แล้วก็ค่อยๆโตขึ้นมา โตเสร็จจบลง แล้วอยู่ที่ไหน มันยังอยู่กับการหายใจ แต่ลมหายใจตอนนั้นไม่เป็นวิหารธรรมแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปดู คือ ไม่จำเป็นต้องไประลึกรู้ลมหายใจอีกต่อไป มันแค่เห็นการหายใจ เพราะดูจนจบแล้ว แต่ยังหายใจอยู่
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 26-28 พ.ค. 66 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.
ณ สถานปฏิบัติธรรมวชิรญาณ ๒๐๐ ปี วัดบวรนิเวศ
นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นั่งนิ่ง ทำกายนิ่ง แล้วดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า นั่นคือการเข้ากระบวนการปลดปล่อยตัวรู้ออกมาจากอวิชชากับโมหะ ถ้าให้ตัวรู้ถูกอวิชชาห่ออยู่ เมื่อเกิดการกระทบ ก็จะเป็นสังขาร เป็นวิญญาณ เป็นนามรูป จนสุดที่ทุกข์ แต่พอเข้าสู่กระบวนการปลดปล่อยตัวรู้ ให้ออกมาอย่างอิสระ ด้วยกลไกที่ถูกต้องอันเป็นภายใน ลองพิจารณาดูว่า คราใดที่เรานั่ง ตั้งกายตรง ทำกายนิ่ง ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า ตัวรู้จะออกมาจากอำนาจของอวิชชา แต่ออกมาแบบอ่อนๆ เหมือนเอาขนมล่อเด็กน้อย ในทางปฏิบัติ แม้แต่คำเดียวก็ละเลยไม่ได้ มันเป็นตัวปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติ ที่เป็นเสมือนกับกลไลที่ซ้อนกันอยู่ ละเมิดไม่ได้เลย ทิ้งไม่ได้เลย ข้ามไม่ได้เลย และถ้าเราไม่อิงพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อำนาจของตัวรู้ที่ถูกอวิชชาห่ออยู่ มันจะรังแต่จะพาเราไป ยิ่งพอเข้าไปสู่สังขารปรุงแต่งเข้าไปแล้ว ความเชื่อก็อยู่ในนั้น ความเห็นผิดก็อยู่ในนั้น ความดื้อด้านก็อยู่ในนั้น ความทะยานอยากก็อยู่ในนั้น อะไรอะไรก็อยู่ในนั้น การที่จะหลวมตัวหลงตนเข้าไปคว้า เข้าไปจับ เข้าไปหยิบ เข้าไปฉวย สิ่งที่ผิดๆ ทำให้เกิดการปฏิบัติแบบผิดๆ เพิ่มพูนความเชื่อแบบผิดๆ มันง่ายมาก
2 บรรทัดที่พูด ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า นั่งคู้บังลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีมาก มันคือกระบวนการที่จะให้รู้ออกมาเป็นอิสระ แน่นอนที่สุด กายต้องสงบนิ่งก่อน และให้ตัวรู้เข้าสู่สภาวะที่กายสงบนิ่งนั้น ต้องอยู่ในอิริยาบทนั่ง จะเป็นตัวเริ่มต้นที่ดีที่สุด เพราะถ้าในอิริยาบถอื่น ไม่กายแกว่ง ใจก็แกว่ง เช่นในอิริยาบทเดิน กายไม่นิ่ง ในอิริยาบทยืน กายก็แกว่ง ในอิริยาบทนอน ใจมันแกว่ง มันจะทำให้เกิดความรู้ตัวไม่ได้ คือได้เหมือนกันแต่มันยาก ท่านจึงให้เริ่มในอิริยาบทนั่ง พอเริ่มในอิริยาบทนั่ง จากการที่เราเดิน เดิน เดิน มาถึงนั่ง แล้วก็ทำฐานให้เป็นบัลลังก์ ว่านั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง มันก็เกิดความสงบนิ่งขึ้นมา พอเกิดการสงบนิ่งของกายขึ้นมา ท่านก็บอกว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา คือ เอาผู้รู้ออกมาโดยอาศัยสติสัมปชัญญะ นำตัวรู้ออกมาโดยอาศัยสติสัมปชัญญะ ออกมาก็ไม่ให้ออกมาไกล ออกมาอยู่ข้างใน ไม่ได้ออกไปอยู่ที่ไหน ออกมาอยู่ตรงสิ่งซึ่งถูกรู้คือกาย ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า ตัวรู้ออกมา ออกมานี้หมายความว่า ออกมาจากอวิชชานะ ออกมาจากการรัดรึง ออกมาจากการมัด ออกมาจากการหุ้มห่อ แล้วก็มีสติสัมปชัญญะเป็นตัวบอก ให้รู้ว่าตัวรู้ตื่นขึ้นมาจากอวิชชา ณ ขณะนั้น แล้วให้ทำหน้าที่รู้สิ่งอันเป็นภายในซึ่งชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกรู้ การรู้ต่อสิ่งอันเป็นภายในซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้อย่างต่อเนื่องตรงไปตรงมา จะเพิ่มกำลังให้กับรู้ จากเป็นเด็กอ่อนก็จะค่อยๆแข็งแรงขึ้น ตัวที่จะทำให้เข้าใจว่าตัวรู้ ซึ่งออกมาจากอวิชชายื้ออยู่กับโมหะ จากเป็นเด็กอ่อนขึ้นมาแข็งแรงได้ คือตัวความตั้งมั่น ตัวรู้กับตัวความตั้งมั่น โตขึ้นมาทำให้กายสงบนิ่ง ตัวรู้ก็จะมีกำลังในการที่จะไปรู้เวทนา มีกำลังที่จะไปรู้ความคิด มีกำลังที่จะไปรู้จิต มีกำลังที่จะไปรู้สภาพธรรมต่างๆที่เคลื่อนไหวอยู่ เช่น รู้นิวรณ์ โพชฌงค์ อริยสัจ ธรรมต่างๆ ขันธ์ 5 ในฐานะที่เป็นขันธ์ เราแค่ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอน อย่าไปให้มันไม่ตรง อย่าไปให้มันไหลไปกับความหวัง อย่าให้ไปอินอยู่กับคำว่าบุญ อย่าให้ไปจมปลักอยู่กับสัญญาเดิมๆที่เราเคยเรียนเคยรู้มา ตรงแค่นี้ เอาแค่ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่านั่งก็นั่ง กายตรงก็กายตรง ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า คือ เอาตัวรู้ออกมาและกำกับด้วยสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ พอตัวรู้มีความระลึกรู้เกิดขึ้น แสดงว่าเขาเดินออกมาจากอวิชชา แต่เดินมาแบบอ่อนๆ เดินมาแบบเด็กอ่อน เด็กเล็ก ที่ยังเป็นเด็กอยู่ เอาขนมล่อมาก็ออกมาเหมือนกัน เมื่อให้ตัวรู้ตัวนี้ โดยมีสติสัมปชัญญะ และสำคัญที่สุดต้องรู้ภายใน คือรู้กายรู้ใจของตนเอง จะไปรู้ใจทันทีในขณะที่รู้ยังอ่อนอยู่นั้นยาก ก็รู้กาย กายที่รู้ได้ง่าย ดี และตรง อิสระที่สุด คือลมหายใจ นั่งตัวตรง รู้เฉพาะหน้า เอาตัวรู้ รู้ลมกระทบตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า พอตัวรู้นี้มีลมเป็นวิหาร มีลมเป็นเครื่องอยู่ มันจบแล้วลม ก่อนที่ลมหายใจจะเป็นเครื่องอยู่ ตัวรู้เขารู้ลมหายใจจบในกระบวนการของลม หมดทุกแง่ทุกมุม ทั้งลมยาว ลมสั้น ลมละเอียด ลมปราณีต ลมหยุด หมด ในขณะที่ตัวรู้ศึกษาลมอยู่นั้น ความตั้งมั่นกับตัวรู้ก็จะค่อยๆโตขึ้นมา เหมือนเด็กน้อยที่กินขนมนมเนย แล้วก็ค่อยๆโตขึ้นมา โตเสร็จจบลง แล้วอยู่ที่ไหน มันยังอยู่กับการหายใจ แต่ลมหายใจตอนนั้นไม่เป็นวิหารธรรมแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปดู คือ ไม่จำเป็นต้องไประลึกรู้ลมหายใจอีกต่อไป มันแค่เห็นการหายใจ เพราะดูจนจบแล้ว แต่ยังหายใจอยู่
#อานาปานสติ #สติปัฏฐาน