
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
พระพุทธเจ้าจึงให้รู้กายในกายเป็นหลัก ถ้ามันตั้งมั่นรู้กายในกายได้ เดี๋ยวเวทนาโผล่มันก็จะรู้เวทนา แล้วมันจะรู้จิตตสังขาร แล้วมันก็จะรู้สภาวะไปเรื่อยๆ ที่มันรู้สภาวะไปเรื่อยๆได้เพราะมันตั้งมั่นอยู่ พอมันตั้งมั่นปั๊บมันรู้กายในกาย สติที่ไปรู้เป็นสติธรรมชาติ ที่ย้ำกับพวกเราอยู่สม่ำเสมอนี่เพื่อไม่ให้พลาด ไม่ให้คลาดเคลื่อนจากจุดที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ มิเช่นนั้นแล้วมันจะไม่ได้ ได้แต่เราตัวโตๆเลย ทําไมพระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่อง
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค ภิกษุทั้งหลาย นี้คือทางเอก
สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์
โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย เพื่อความก้าวล่วงแห่งโศกะและปริเทวะ
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย เพื่อความดับซึ่งทุกข์และโทมนัส
ญายสฺส อธิคมาย เพื่อการเข้าถึงความรู้ ความหยั่งรู้
นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เพื่อกระทําให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
พระพุทธเจ้าบอกว่า ภิกษุทั้งหลายเราจะแสดงซึ่งทางเดินหรือวิธีปฏิบัติ เรียกว่า “ปฏิปทา” ในปฏิปทาสูตรไปเปิดดู มันมีอยู่ ๒ ทางเท่านั้นนะ คือ มิจฉาปฏิปทา กับ สัมมาปฏิปทา
มิจฉาปฏิปทา คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เป็นต้น จนถึงกระทั่งคำว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ และทางนี้เป็นทางผิด ทางผิดมันเกิดตั้งแต่ตอนไหน? เกิดตั้งแต่แรก เท่าที่อวิชชามันห่อจิตไว้ แล้วมันทําหน้าที่ห่อไว้เรื่อยๆก่อนนะ พออายตนะแข็งแรง มันก็ห่อจิตออกไป ห่อจิตออกไป ห่อจิตออกไป เพื่อให้ไปปรุงแต่งเป็นสังขาร แล้วจากนั้นมันก็ยึดวิญญาณ ยึดนามรูป ยึดผัสสะ ยึดอายตนะ ยึดผัสสะ ยึดเวทนา ยึดสัญญา ยึดเวทนา แล้วก็เกิดเป็นตัณหา พอเกิดเป็นตัณหาทีนี้ก็เป็นอุปาทาน เป็นภพเป็นชาติไป นี่เป็นทางผิด มันก่อตั้งแต่ทีแรก แล้วมันก็ทําให้เรามีกิริยาชีวิตอย่างไร? เดินอย่างนี้ กำอย่างนี้ เขย่ามืออย่างนี้ อะไรอย่างนี้เป็นปกติ จับอย่างนี้ เขียนอย่างนี้ กินอย่างนี้ เดินอย่างนี้ เป็นกิริยาชีวิตที่เป็นปกติ แต่ในอํานาจของอวิชชา มันจึงเป็นมิจฉาปฏิปทา
พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าสติปัฏฐาน เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สอนสติปัฏฐานเพื่ออะไร? เพื่อให้มันเข้าสู่โหมดของ สัมมาปฏิปทา ทางเดินที่ถูก คือ อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ หมายความว่า จุดเริ่มของมันก็คือว่า การสํารอกความติดข้องทั้งหลาย โดยไม่มีส่วนเหลือที่เป็นอวิชชา ไม่ให้มีมันเหลือมาเลย พอตัวนั้นมันไม่มีเหลือเลย สังขารมันก็ดับ เพราะตัวอวิชชาที่มันจะห่อจิตให้ไปเป็นสังขาร ห่อเข้าไป ห่อเข้าไป ด้วยความไม่รู้ แล้วก็ห่อจิตเข้าไป หลงเข้าไปในการสัมผัสต่างๆ รูป เสียง กลิ่น รส อวิชชาตัวที่จะมาห่อจิต มันห่อไปไม่ได้ เพราะมันถูกดับโดยไม่มีส่วนเหลือ คําว่าถูกดับโดยไม่มีส่วนเหลือ นั่นก็คือ เข้าสู่กิจ จุดที่พระพุทธเจ้าชี้นี้มันเกิดไม่ได้ ตรงนั้นแหละมันเป็นช่องๆเดียว เป็นจุดๆเดียวที่เราเรียกกันว่า เป็นจุดตั้งต้นของเรื่อง คือ ความตั้งมั่นที่มีสติแลอยู่ ไม่ไปไหนแล้ว พูดไปเรื่องไหนๆก็ต้องมาลงตรงนี้อีก นี่คือทางที่เป็น สัมมาปฏิปทา
ทางที่เป็นสัมมาปฏิปทา พระพุทธเจ้าให้วางอย่างไร? ถ้าจิตเดิม จิตโดยปกติที่อวิชชามันห่อมาตั้งแต่ต้น อย่างตอนนี้ก็เอาเข้ามาไว้ที่ฐาน ตอนแรกๆที่เราฝึก เป็นนิมิต อยู่บริเวณนี้ก่อน โดยที่มันอยู่โดยไม่เอาอะไรเลย ไปอยู่ขวางทางเดินของลมหายใจ แล้วพอมีลมหายใจมามันก็รู้ลมที่กระทบ ลมกระทบหมายความว่า เป็นลมที่เกิดจากเหตุปัจจัยและจิตมันก็อยู่ตรงนี้ แล้วพอมันรู้ลมที่กระทบ หมายความว่า ตัวที่รู้เป็นสติ สติที่รู้อยู่นี่แหละมันจะทํากั้นจิตและจะบ่มจิตนี้ให้มันมีอุเบกขา แล้วก็ตั้งมั่นขึ้นอยู่ตรงที่นิมิต จนมันมีกําลังขึ้นมา เราจึงพูดกันถึงเรื่องของฐานว่า บริเวณนี้เป็นฐานเพราะสําหรับ พอเข้าสู่ฐานปั๊บรู้ลม เข้าสู่ฐานปั๊บรู้ลม นั่นน่ะคือจิตที่ตั้งมั่น มันเกิดตัวของมัน มันมีกําลังขึ้นมา และมีสติเข้าไปรู้ลมโดยธรรมชาติ ตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้วที่พูดว่า นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติของเขา ของเขาก็หมายความว่าลมที่มันออกมา แม้นว่าเป็นลมที่เรากําหนดหายใจออกมา แต่มันไม่ได้รู้ลมนั้น เวลาสติเข้าไปรู้มันรู้ลมที่กระทบ เพราะลมนั้นน่ะมันรู้ไม่ได้ มันจะรู้ลมนั้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกําหนดไล่ตาม พอตามอย่างนั้นเป็นอะไร? พระพุทธเจ้าบอกเป็นอะไร? อุปกิเลสของการรู้ลม เพราะฉะนั้นเรื่องราวมันมีอยู่ตรงนี้เลย
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
พระพุทธเจ้าจึงให้รู้กายในกายเป็นหลัก ถ้ามันตั้งมั่นรู้กายในกายได้ เดี๋ยวเวทนาโผล่มันก็จะรู้เวทนา แล้วมันจะรู้จิตตสังขาร แล้วมันก็จะรู้สภาวะไปเรื่อยๆ ที่มันรู้สภาวะไปเรื่อยๆได้เพราะมันตั้งมั่นอยู่ พอมันตั้งมั่นปั๊บมันรู้กายในกาย สติที่ไปรู้เป็นสติธรรมชาติ ที่ย้ำกับพวกเราอยู่สม่ำเสมอนี่เพื่อไม่ให้พลาด ไม่ให้คลาดเคลื่อนจากจุดที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ มิเช่นนั้นแล้วมันจะไม่ได้ ได้แต่เราตัวโตๆเลย ทําไมพระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่อง
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค ภิกษุทั้งหลาย นี้คือทางเอก
สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์
โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย เพื่อความก้าวล่วงแห่งโศกะและปริเทวะ
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย เพื่อความดับซึ่งทุกข์และโทมนัส
ญายสฺส อธิคมาย เพื่อการเข้าถึงความรู้ ความหยั่งรู้
นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เพื่อกระทําให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
พระพุทธเจ้าบอกว่า ภิกษุทั้งหลายเราจะแสดงซึ่งทางเดินหรือวิธีปฏิบัติ เรียกว่า “ปฏิปทา” ในปฏิปทาสูตรไปเปิดดู มันมีอยู่ ๒ ทางเท่านั้นนะ คือ มิจฉาปฏิปทา กับ สัมมาปฏิปทา
มิจฉาปฏิปทา คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เป็นต้น จนถึงกระทั่งคำว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ และทางนี้เป็นทางผิด ทางผิดมันเกิดตั้งแต่ตอนไหน? เกิดตั้งแต่แรก เท่าที่อวิชชามันห่อจิตไว้ แล้วมันทําหน้าที่ห่อไว้เรื่อยๆก่อนนะ พออายตนะแข็งแรง มันก็ห่อจิตออกไป ห่อจิตออกไป ห่อจิตออกไป เพื่อให้ไปปรุงแต่งเป็นสังขาร แล้วจากนั้นมันก็ยึดวิญญาณ ยึดนามรูป ยึดผัสสะ ยึดอายตนะ ยึดผัสสะ ยึดเวทนา ยึดสัญญา ยึดเวทนา แล้วก็เกิดเป็นตัณหา พอเกิดเป็นตัณหาทีนี้ก็เป็นอุปาทาน เป็นภพเป็นชาติไป นี่เป็นทางผิด มันก่อตั้งแต่ทีแรก แล้วมันก็ทําให้เรามีกิริยาชีวิตอย่างไร? เดินอย่างนี้ กำอย่างนี้ เขย่ามืออย่างนี้ อะไรอย่างนี้เป็นปกติ จับอย่างนี้ เขียนอย่างนี้ กินอย่างนี้ เดินอย่างนี้ เป็นกิริยาชีวิตที่เป็นปกติ แต่ในอํานาจของอวิชชา มันจึงเป็นมิจฉาปฏิปทา
พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าสติปัฏฐาน เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สอนสติปัฏฐานเพื่ออะไร? เพื่อให้มันเข้าสู่โหมดของ สัมมาปฏิปทา ทางเดินที่ถูก คือ อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ หมายความว่า จุดเริ่มของมันก็คือว่า การสํารอกความติดข้องทั้งหลาย โดยไม่มีส่วนเหลือที่เป็นอวิชชา ไม่ให้มีมันเหลือมาเลย พอตัวนั้นมันไม่มีเหลือเลย สังขารมันก็ดับ เพราะตัวอวิชชาที่มันจะห่อจิตให้ไปเป็นสังขาร ห่อเข้าไป ห่อเข้าไป ด้วยความไม่รู้ แล้วก็ห่อจิตเข้าไป หลงเข้าไปในการสัมผัสต่างๆ รูป เสียง กลิ่น รส อวิชชาตัวที่จะมาห่อจิต มันห่อไปไม่ได้ เพราะมันถูกดับโดยไม่มีส่วนเหลือ คําว่าถูกดับโดยไม่มีส่วนเหลือ นั่นก็คือ เข้าสู่กิจ จุดที่พระพุทธเจ้าชี้นี้มันเกิดไม่ได้ ตรงนั้นแหละมันเป็นช่องๆเดียว เป็นจุดๆเดียวที่เราเรียกกันว่า เป็นจุดตั้งต้นของเรื่อง คือ ความตั้งมั่นที่มีสติแลอยู่ ไม่ไปไหนแล้ว พูดไปเรื่องไหนๆก็ต้องมาลงตรงนี้อีก นี่คือทางที่เป็น สัมมาปฏิปทา
ทางที่เป็นสัมมาปฏิปทา พระพุทธเจ้าให้วางอย่างไร? ถ้าจิตเดิม จิตโดยปกติที่อวิชชามันห่อมาตั้งแต่ต้น อย่างตอนนี้ก็เอาเข้ามาไว้ที่ฐาน ตอนแรกๆที่เราฝึก เป็นนิมิต อยู่บริเวณนี้ก่อน โดยที่มันอยู่โดยไม่เอาอะไรเลย ไปอยู่ขวางทางเดินของลมหายใจ แล้วพอมีลมหายใจมามันก็รู้ลมที่กระทบ ลมกระทบหมายความว่า เป็นลมที่เกิดจากเหตุปัจจัยและจิตมันก็อยู่ตรงนี้ แล้วพอมันรู้ลมที่กระทบ หมายความว่า ตัวที่รู้เป็นสติ สติที่รู้อยู่นี่แหละมันจะทํากั้นจิตและจะบ่มจิตนี้ให้มันมีอุเบกขา แล้วก็ตั้งมั่นขึ้นอยู่ตรงที่นิมิต จนมันมีกําลังขึ้นมา เราจึงพูดกันถึงเรื่องของฐานว่า บริเวณนี้เป็นฐานเพราะสําหรับ พอเข้าสู่ฐานปั๊บรู้ลม เข้าสู่ฐานปั๊บรู้ลม นั่นน่ะคือจิตที่ตั้งมั่น มันเกิดตัวของมัน มันมีกําลังขึ้นมา และมีสติเข้าไปรู้ลมโดยธรรมชาติ ตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้วที่พูดว่า นิ่งรู้เฉยอยู่อย่างอิสระตรงต่อสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นธรรมชาติของเขา ของเขาก็หมายความว่าลมที่มันออกมา แม้นว่าเป็นลมที่เรากําหนดหายใจออกมา แต่มันไม่ได้รู้ลมนั้น เวลาสติเข้าไปรู้มันรู้ลมที่กระทบ เพราะลมนั้นน่ะมันรู้ไม่ได้ มันจะรู้ลมนั้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกําหนดไล่ตาม พอตามอย่างนั้นเป็นอะไร? พระพุทธเจ้าบอกเป็นอะไร? อุปกิเลสของการรู้ลม เพราะฉะนั้นเรื่องราวมันมีอยู่ตรงนี้เลย
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร