
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สการฝึกอบรมกรรมฐานเบื้องต้นเพื่อการพัฒนาจิต เพิ่มคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงาน รุ่น 63 วันที่ 25-31 ตุลาคม พ.ศ. 2566ณ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์โดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผารามวรวิหาร
การฟังธรรมและการปฏิบัติธรรม อย่าเอาตัวตนมาก่อน อย่าเอาตัวตนที่มันห้อมล้อมพอกพูนมาด้วยทิฐิ มานะ ตามเรื่องราว จากการเรียนรู้ ความจำ ความเชื่อทั้งหมดที่เรามีอยู่ ในทางพุทธศาสนา ท่านให้เรียนเรื่อง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ ปราศจากความเป็นตัวตนโดยสิ้นเชิง อุปกรณ์ในการเรียนก็คือรูปนาม ธาตุในฐานะที่เป็นรูป นาม ขันธ์ อินทรีย์ เท่านี้ ไม่มีรวยจน ตำแหน่ง ชื่อนามสกุล ถ้าเราทะลุตรงนี้เข้าไปได้ เราจะเข้าใจธรรมะได้ง่าย เพราะไม่ว่าชื่อสกุลฐานะตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งหมดมันเป็นเรื่องความสมมุติของโลก คือเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วก็หายไป ให้ธรรมะไปเป็นที่ตั้งอยู่ตรงนั้นไม่ได้
ถ้ามีธรรมะ ธรรมะจะไม่ไปขัดแย้งกับโลกเพราะมันอยู่ตรงกลาง โลกอาศัยชอบกับไม่ชอบเป็นหลัก เรื่องของธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงคือมัชฌิมาปฏิปทา อยู่ตรงกลาง คือตรงกลางที่มันไม่เป็น กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค อยู่ที่รูปนามแท้ๆ ที่เห็นความกระจ่างชัดของรูปนามที่มันมีเกิดและก็ดับไปเป็นธรรมดาเท่านี้เอง ถ้าเข้าใจตรงนี้จับจุดตรงนี้ได้ เราจะเรียนธรรมะได้ง่ายขึ้น เราจะเข้าสู่สิ่งที่ชื่อว่าธรรมะนี้อย่างตรงที่สุดและบริสุทธิ์
การที่จะเข้าใจธรรมะได้ เราจะต้องมี มนสา จ ผุโฐ สิยา ลงใจ ต้องสัมผัสด้วยใจ สติไม่ใช่เราจำได้ว่า สติแปลว่าความระลึกได้ แต่มันต้องลงใจ หิริโอตตัปปะ ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาปนั้นมันจำได้แต่มันยังไม่เป็นธรรมะ ธรรมะจริงๆมันต้องลงใจ ต้องอยู่ตรงกลางเท่านั้น ถ้าหากว่าใจยังกระสับกระส่ายไปกับชอบไม่ชอบอยู่ แสดงว่าเรายังไปติดอยู่ที่ก้อนสักกายะ ก้อนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อห้อมล้อมรูปนามแท้ๆนี้ ตัวที่สร้างก็คือความรู้ความจำความเชื่อของเรา ที่เป็นสัญญา จิตตะ ทิฐิ จนมันผิดเพี้ยนที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า สัญญาวิปลาส (ความรู้ที่ผิดเพี้ยน) จิตตวิปลาส(ความคิดที่ผิดเพี้ยน) ทิฏฐิวิปลาส(ความเห็นที่ผิดเพี้ยน) ผิดเพี้ยนนี้คือผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง
ให้เข้าไปถึงรูปนามแท้ๆ ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า คือเอาตัวรู้ทั้งหมดที่ สามารถรู้ได้ รวมกันเป็นองค์รู้พุ่งตรงเข้าไปสู่กายสู่ใจ ทะลุก้อนกายก้อนใจนี้เข้าไป ดูความจริงที่ปรากฏแต่ละขณะของกายของใจนี้ จนเราสามารถสัมผัสและก็เข้าใจมันได้ ก็จบได้เหมือนกัน
ภูมิอันเป็นที่ตั้งสำหรับศึกษาและปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา จึงมีเพียงแค่ขันธ์ 5 ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ คือว่าด้วยกายใจเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าสอนคือ คือ สติปัฏฐาน4 ก็มาจากรูปนามกายใจนี้ สติปัฏฐาน4 คือ ฐานเป็นที่ตั้งแห่งสติมีอยู่ 4 ฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม รูปทั้งหมดเป็นเรื่องของกาย เวทนาก็เป็นเวทนา เจตสิกเป็นเรื่องของจิต อาการของจิตเรื่องของความคิดลงไปในเรื่องของจิตและพูดถึงสภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดภายในกายในใจนี้ให้รูปนามกายใจนี้เป็นฐาน เป็นที่ตั้งของสติ สติอันหมายถึงสัมปชัญญะด้วย รวมเท่ากับตัวผู้รู้ อยู่ที่ ฐานกายฐานใจ อยู่เหมือนกับหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว เป็นฐานสำหรับเป็นที่ตั้งของตัวรู้ ถ้าตัวรู้อยู่ที่กายที่ใจที่เป็นฐานเป็นตัวตั้งแล้ว มันจะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เวลาเห็นมันไม่ใช่วิ่งไปหาเห็น คือ นิ่งรู้อยู่อย่างนั้น อะไรปรากฏอย่างไรมันก็รู้อย่างนั้น ไม่ต้องปรุงแต่งตกแต่งแทรกแซงสิ่งที่ปรากฏใดๆเลย ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเข้าไปปรุงแต่งแทรกแซงในสิ่งที่ปรากฏ เมื่อนั้นมันไม่ใช่รู้ เมื่อนั่นก็คือเป็นเรานั่นเอง ถ้ารู้ มันจะเป็นกลางของเขาอยู่อย่างนั้นอะไรก็เข้าไปแทรกไม่ได้เมื่อเข้าไปแทรกเขาก็จะไม่ใช่รู้ ก็จะเป็นเราไปหมดเลย
เครื่องร้อยรัด
1. อภิชฌากายคันโถ ความจ้องเพ่งเล็งกับโลก ทุกครั้งที่อยากก็สะสม
2. พยาปาโทกายคันโถ พื้นของใจที่พร้อมจะเปิดศึกกับสิ่งที่กระทบแล้วไม่ถูกใจ สะสมมาจากไม่ชอบ
3. อิทังสัจจาภินิเวโสกายคันโถ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเห็นว่าจริง จะมีกำลังมากขึ้นกลายเป็นเครื่องรัดรึงในใจ
4. สีลัพพตปรามาโสกายคันโถ การถือมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิดๆแล้วเข้าใจว่าถูก ด้วยอำนาจของความหลง หลงในข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ จนกระทั่งผิดรูปแบบของที่ควรจะเป็น แล้วก็ปฏิบัติอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมันรัดรึงรึงใจ
เพราะจุดเริ่มต้นคือ อวิชชา คือไม่รู้ ไม่รู้แล้วก็เกิด มโนปวิจาร หน่วงนึกเข้าไปสู่รูปโดยความไม่รู้ในเรื่องรูป จิตเกิดการหน่วงนึกเข้าไปสู่เสียงโดยที่ไม่รู้ในเรื่อง เสียง เวลาไม่รู้เกิดแล้ว ก็เปรียบเหมือนควายตาบอดที่เดินหลงอยู่ในป่า เนื้อตัวแขนขาของควายตัวนั้นจะเต็มไปด้วย บาดแผล เจ็บปวด เดี๋ยวก็ตกหลุมตกร่อง เพราะเครื่องร้อยรัดเหล่านี้ มันรัดรึงใจเราอยู่
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สการฝึกอบรมกรรมฐานเบื้องต้นเพื่อการพัฒนาจิต เพิ่มคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงาน รุ่น 63 วันที่ 25-31 ตุลาคม พ.ศ. 2566ณ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์โดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผารามวรวิหาร
การฟังธรรมและการปฏิบัติธรรม อย่าเอาตัวตนมาก่อน อย่าเอาตัวตนที่มันห้อมล้อมพอกพูนมาด้วยทิฐิ มานะ ตามเรื่องราว จากการเรียนรู้ ความจำ ความเชื่อทั้งหมดที่เรามีอยู่ ในทางพุทธศาสนา ท่านให้เรียนเรื่อง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ ปราศจากความเป็นตัวตนโดยสิ้นเชิง อุปกรณ์ในการเรียนก็คือรูปนาม ธาตุในฐานะที่เป็นรูป นาม ขันธ์ อินทรีย์ เท่านี้ ไม่มีรวยจน ตำแหน่ง ชื่อนามสกุล ถ้าเราทะลุตรงนี้เข้าไปได้ เราจะเข้าใจธรรมะได้ง่าย เพราะไม่ว่าชื่อสกุลฐานะตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งหมดมันเป็นเรื่องความสมมุติของโลก คือเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วก็หายไป ให้ธรรมะไปเป็นที่ตั้งอยู่ตรงนั้นไม่ได้
ถ้ามีธรรมะ ธรรมะจะไม่ไปขัดแย้งกับโลกเพราะมันอยู่ตรงกลาง โลกอาศัยชอบกับไม่ชอบเป็นหลัก เรื่องของธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงคือมัชฌิมาปฏิปทา อยู่ตรงกลาง คือตรงกลางที่มันไม่เป็น กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค อยู่ที่รูปนามแท้ๆ ที่เห็นความกระจ่างชัดของรูปนามที่มันมีเกิดและก็ดับไปเป็นธรรมดาเท่านี้เอง ถ้าเข้าใจตรงนี้จับจุดตรงนี้ได้ เราจะเรียนธรรมะได้ง่ายขึ้น เราจะเข้าสู่สิ่งที่ชื่อว่าธรรมะนี้อย่างตรงที่สุดและบริสุทธิ์
การที่จะเข้าใจธรรมะได้ เราจะต้องมี มนสา จ ผุโฐ สิยา ลงใจ ต้องสัมผัสด้วยใจ สติไม่ใช่เราจำได้ว่า สติแปลว่าความระลึกได้ แต่มันต้องลงใจ หิริโอตตัปปะ ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาปนั้นมันจำได้แต่มันยังไม่เป็นธรรมะ ธรรมะจริงๆมันต้องลงใจ ต้องอยู่ตรงกลางเท่านั้น ถ้าหากว่าใจยังกระสับกระส่ายไปกับชอบไม่ชอบอยู่ แสดงว่าเรายังไปติดอยู่ที่ก้อนสักกายะ ก้อนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อห้อมล้อมรูปนามแท้ๆนี้ ตัวที่สร้างก็คือความรู้ความจำความเชื่อของเรา ที่เป็นสัญญา จิตตะ ทิฐิ จนมันผิดเพี้ยนที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า สัญญาวิปลาส (ความรู้ที่ผิดเพี้ยน) จิตตวิปลาส(ความคิดที่ผิดเพี้ยน) ทิฏฐิวิปลาส(ความเห็นที่ผิดเพี้ยน) ผิดเพี้ยนนี้คือผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง
ให้เข้าไปถึงรูปนามแท้ๆ ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า คือเอาตัวรู้ทั้งหมดที่ สามารถรู้ได้ รวมกันเป็นองค์รู้พุ่งตรงเข้าไปสู่กายสู่ใจ ทะลุก้อนกายก้อนใจนี้เข้าไป ดูความจริงที่ปรากฏแต่ละขณะของกายของใจนี้ จนเราสามารถสัมผัสและก็เข้าใจมันได้ ก็จบได้เหมือนกัน
ภูมิอันเป็นที่ตั้งสำหรับศึกษาและปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา จึงมีเพียงแค่ขันธ์ 5 ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ คือว่าด้วยกายใจเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าสอนคือ คือ สติปัฏฐาน4 ก็มาจากรูปนามกายใจนี้ สติปัฏฐาน4 คือ ฐานเป็นที่ตั้งแห่งสติมีอยู่ 4 ฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม รูปทั้งหมดเป็นเรื่องของกาย เวทนาก็เป็นเวทนา เจตสิกเป็นเรื่องของจิต อาการของจิตเรื่องของความคิดลงไปในเรื่องของจิตและพูดถึงสภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดภายในกายในใจนี้ให้รูปนามกายใจนี้เป็นฐาน เป็นที่ตั้งของสติ สติอันหมายถึงสัมปชัญญะด้วย รวมเท่ากับตัวผู้รู้ อยู่ที่ ฐานกายฐานใจ อยู่เหมือนกับหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว เป็นฐานสำหรับเป็นที่ตั้งของตัวรู้ ถ้าตัวรู้อยู่ที่กายที่ใจที่เป็นฐานเป็นตัวตั้งแล้ว มันจะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เวลาเห็นมันไม่ใช่วิ่งไปหาเห็น คือ นิ่งรู้อยู่อย่างนั้น อะไรปรากฏอย่างไรมันก็รู้อย่างนั้น ไม่ต้องปรุงแต่งตกแต่งแทรกแซงสิ่งที่ปรากฏใดๆเลย ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเข้าไปปรุงแต่งแทรกแซงในสิ่งที่ปรากฏ เมื่อนั้นมันไม่ใช่รู้ เมื่อนั่นก็คือเป็นเรานั่นเอง ถ้ารู้ มันจะเป็นกลางของเขาอยู่อย่างนั้นอะไรก็เข้าไปแทรกไม่ได้เมื่อเข้าไปแทรกเขาก็จะไม่ใช่รู้ ก็จะเป็นเราไปหมดเลย
เครื่องร้อยรัด
1. อภิชฌากายคันโถ ความจ้องเพ่งเล็งกับโลก ทุกครั้งที่อยากก็สะสม
2. พยาปาโทกายคันโถ พื้นของใจที่พร้อมจะเปิดศึกกับสิ่งที่กระทบแล้วไม่ถูกใจ สะสมมาจากไม่ชอบ
3. อิทังสัจจาภินิเวโสกายคันโถ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเห็นว่าจริง จะมีกำลังมากขึ้นกลายเป็นเครื่องรัดรึงในใจ
4. สีลัพพตปรามาโสกายคันโถ การถือมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิดๆแล้วเข้าใจว่าถูก ด้วยอำนาจของความหลง หลงในข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ จนกระทั่งผิดรูปแบบของที่ควรจะเป็น แล้วก็ปฏิบัติอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมันรัดรึงรึงใจ
เพราะจุดเริ่มต้นคือ อวิชชา คือไม่รู้ ไม่รู้แล้วก็เกิด มโนปวิจาร หน่วงนึกเข้าไปสู่รูปโดยความไม่รู้ในเรื่องรูป จิตเกิดการหน่วงนึกเข้าไปสู่เสียงโดยที่ไม่รู้ในเรื่อง เสียง เวลาไม่รู้เกิดแล้ว ก็เปรียบเหมือนควายตาบอดที่เดินหลงอยู่ในป่า เนื้อตัวแขนขาของควายตัวนั้นจะเต็มไปด้วย บาดแผล เจ็บปวด เดี๋ยวก็ตกหลุมตกร่อง เพราะเครื่องร้อยรัดเหล่านี้ มันรัดรึงใจเราอยู่