
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วัดป่าไม้แดง จ.เชียงใหม่ วันที่ 10-14 ธ.ค. 65 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.ณ สำนักปฏิบัติธรรมสวนป่าพุทธชยันตี อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
การปฏิบัตินั้นเรามีช่องทางเดียว ที่เรียกว่า "เอกายนมรรค" เป็นช่องทางเดียวที่เข้าสู่ สติปัฏฐาน 4 เพื่อที่จะส่งผลว่า
กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาเวทนานี้ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาธรรมนี้ก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา
หมายความว่า กายนี้ก็สักว่ากาย ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา ช่องทางที่พระพุทธเจ้าสอน เพื่อส่งผลเข้าสู่สิ่งนี้ เมื่อเราเข้าสู่สิ่งนี้ได้แล้ว สภาพธรรมที่ปรากฏ ก็จะเป็นสภาพธรรมที่เป็นอเนกอนันต์ เป็นนินิจรันดร์ เป็นอมตะ เป็นอมฤตธรรม
แต่ว่าเวลาเราลงมือที่จะฟังธรรมะ ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมมันก็เกิดเอาเราเข้าไปก่อน เราจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ จะต้องแต่งตัวแบบนั้นแบบนี้ นั่ง เดิน กินอย่างนั้น อย่างนี้ เอาอย่างนั้นอย่างนี้ มันยิ่งเดินห่างออกไปจากคำว่า เอกายนมรรค ยิ่งเดินห่างออกจากเส้นทางที่จะเข้าสู่ "กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา" ท่าทีของผู้ปฏิบัติไม่ได้ตรงต่อเส้นทางที่พระพุทธเจ้าสอน
ถ้าเราจะไปปฏิบัติธรรมแล้วเราไปตั้งแง่ วางเงื่อนไขให้กับตัวเราเอง เพื่อโน้มน้าวสิ่งต่างๆให้ถูกใจเรา มันเป็นตัวตน เป็นอัตตา เราจะไม่สามารถเข้าสู่สิ่งที่เป็นธรรมได้
ธรรมนี้คือธรรมชาติ เกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย มันไม่ใช่เรา แต่เราไปพยายามให้ธรรมชาติมาอยู่ในอำนาจของเรา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
การปฏิบัติธรรม หรือ ธรรมปฏิบัติ คือ ปฏิบัติไปตามหลักของธรรมชาติ ตราบใดที่ยังเป็นเราอยู่เต็มหัวจิตหัวใจ เราไม่มีวันที่จะพ้นจากทุกข์ได้ แม้แต่อกุศล เรายังไม่สามารถดับมันได้สิ้นเชิง หมายความว่า เราปิดอบายไม่ได้
การปฏิบัติธรรมเป็นการขัดเกลาสนิมที่ชื่อว่าเรา ให้ออกไป เบาลงไป ตัวที่จะเกิดแทนคือตัวรู้ ตัวรู้จะมาแทนเรา
กายมีความกระเพื่อม มีลักษณะคร่ำคร่า ชำรุด ทรุดโทรม ผุกร่อน ไปตามเหตุปัจจัยของมัน
ใจมีธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ฟุ้ง เดือด ห่อเหี่ยว ไม่พอใจ ชอบ ไม่ชอบ
เมื่อใดที่เราไปอยู่ในความฟุ้ง ชอบ ไม่ชอบ นั่นคือ เกิดความเราเต็มหัวจิตหัวใจ เมื่อกายแปรปรวน ปวด แล้วเราไปอยู่ในความปวด มันก็เป็นเราขึ้นมา
ปฏิบัติธรรมคือให้เกิดสภาพรู้แทนการที่เราไปอยู่ในนั้น ให้ตัวรู้มีกำลังขึ้นมา แล้วรู้สิ่งนั้นตามธรรมชาติที่มันเป็น
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิงวิหะระติ
สภาวะหรือธรรมชาติใดอันเกิดขึ้น ก็รู้ความเกิดขึ้นของธรรมชาตินั้น ธรรมชาติใดที่ดับ ก็รู้การดับไปของธรรมชาตินั้น ไม่ได้ทำอะไร แค่รู้การเกิดดับของมันเท่านั้นเอง
เมื่อเราเข้าสู่ช่องทางของลมหายใจที่ถูกต้อง สภาพรู้ก็จะเกิดขึ้น รู้เกิดจากที่เรารู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่องบ่อยๆ จนสภาพรู้ปรากฏเป็นธรรมชาติของมัน ทำหน้าที่รู้กายรู้ใจ รู้การกระเพื่อมของกายใจ การเคลื่อนไหวของกายใจ รู้ไปเรื่อยๆจนรู้ทะลุทะลวงแรงกระเพื่อมทั้งหลาย เข้าไปสู่ความเป็นจริง แท้จริง ของกายใจ ความเป็นจริงของกาย ของใจ จะเหมือนกัน คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวรู้จึงทำให้เราเข้าสู่ธรรมชาติแท้ๆของใจ
ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปตวา ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า คือเริ่มตั้งตัวรู้ ไม่ใช่ตั้งตัวเรา ลมหายใจเป็นยังไง กาย จิตเป็นยังไง มันก็รู้ตามธรรมชาติ ในความเป็นอย่างนั้น
ฌาน มี ๒ อย่าง ฌานที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ และ ไม่สรรเสริญ พราหมณ์ชื่อโคปกโมคคัลลานะ
เวลาเราทำสมาธิ เรามักจะหลงผิดไปจากความเป็นจริง ไหลไปกับสภาวะที่เราไม่ได้รู้มัน
ฌานที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ คือ ฌานสติบริสุทธิ์ มีอุเบกขาเป็นฐาน จะเกิดเป็นลำดับชั้นขึ้นมา เป็นหิริโอตตัปปะ อินทรียสังวรณ์ เป็นศีล จนในที่สุดเป็นนิพพิทาวิราคะตามลำดับ
แต่ฌานที่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ ยังเต็มไปด้วยอำนาจของกามราคะ พยาบาท อวิชชา ไม่สามารถที่จะทำให้เบาบางลงไปได้
เราลองดูว่าเราทำสมาธิ แล้วโทสะ กามราคะ อิจฉาริษยา ความหงุดหงิด อัตตาตัวตน เบาบางลงไหม
หรือยังเหมือนเดิม ถ้าเหมือนเดิม แสดงว่าสมาธิที่เราได้มา ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
ตัวรู้ ประกอบไปด้วย สติ สัมปชัญญะ อุเบกขา
ถ้าตัวรู้ร่วงลงไปอยู่ในสภาวะใดก็ตาม จำสำคัญในสภาวะนั้น ตัวรู้จะกลายเป็นเรา อุเบกขาหาย
ปรับท่าที รู้ทันกาย ทันใจของตัวเอง รู้ทันการกระเพื่อมของกายใจตัวเอง
#อานาปานสติ
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วัดป่าไม้แดง จ.เชียงใหม่ วันที่ 10-14 ธ.ค. 65 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.ณ สำนักปฏิบัติธรรมสวนป่าพุทธชยันตี อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
การปฏิบัตินั้นเรามีช่องทางเดียว ที่เรียกว่า "เอกายนมรรค" เป็นช่องทางเดียวที่เข้าสู่ สติปัฏฐาน 4 เพื่อที่จะส่งผลว่า
กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาเวทนานี้ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาธรรมนี้ก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา
หมายความว่า กายนี้ก็สักว่ากาย ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา ช่องทางที่พระพุทธเจ้าสอน เพื่อส่งผลเข้าสู่สิ่งนี้ เมื่อเราเข้าสู่สิ่งนี้ได้แล้ว สภาพธรรมที่ปรากฏ ก็จะเป็นสภาพธรรมที่เป็นอเนกอนันต์ เป็นนินิจรันดร์ เป็นอมตะ เป็นอมฤตธรรม
แต่ว่าเวลาเราลงมือที่จะฟังธรรมะ ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมมันก็เกิดเอาเราเข้าไปก่อน เราจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ จะต้องแต่งตัวแบบนั้นแบบนี้ นั่ง เดิน กินอย่างนั้น อย่างนี้ เอาอย่างนั้นอย่างนี้ มันยิ่งเดินห่างออกไปจากคำว่า เอกายนมรรค ยิ่งเดินห่างออกจากเส้นทางที่จะเข้าสู่ "กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา" ท่าทีของผู้ปฏิบัติไม่ได้ตรงต่อเส้นทางที่พระพุทธเจ้าสอน
ถ้าเราจะไปปฏิบัติธรรมแล้วเราไปตั้งแง่ วางเงื่อนไขให้กับตัวเราเอง เพื่อโน้มน้าวสิ่งต่างๆให้ถูกใจเรา มันเป็นตัวตน เป็นอัตตา เราจะไม่สามารถเข้าสู่สิ่งที่เป็นธรรมได้
ธรรมนี้คือธรรมชาติ เกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย มันไม่ใช่เรา แต่เราไปพยายามให้ธรรมชาติมาอยู่ในอำนาจของเรา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
การปฏิบัติธรรม หรือ ธรรมปฏิบัติ คือ ปฏิบัติไปตามหลักของธรรมชาติ ตราบใดที่ยังเป็นเราอยู่เต็มหัวจิตหัวใจ เราไม่มีวันที่จะพ้นจากทุกข์ได้ แม้แต่อกุศล เรายังไม่สามารถดับมันได้สิ้นเชิง หมายความว่า เราปิดอบายไม่ได้
การปฏิบัติธรรมเป็นการขัดเกลาสนิมที่ชื่อว่าเรา ให้ออกไป เบาลงไป ตัวที่จะเกิดแทนคือตัวรู้ ตัวรู้จะมาแทนเรา
กายมีความกระเพื่อม มีลักษณะคร่ำคร่า ชำรุด ทรุดโทรม ผุกร่อน ไปตามเหตุปัจจัยของมัน
ใจมีธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ฟุ้ง เดือด ห่อเหี่ยว ไม่พอใจ ชอบ ไม่ชอบ
เมื่อใดที่เราไปอยู่ในความฟุ้ง ชอบ ไม่ชอบ นั่นคือ เกิดความเราเต็มหัวจิตหัวใจ เมื่อกายแปรปรวน ปวด แล้วเราไปอยู่ในความปวด มันก็เป็นเราขึ้นมา
ปฏิบัติธรรมคือให้เกิดสภาพรู้แทนการที่เราไปอยู่ในนั้น ให้ตัวรู้มีกำลังขึ้นมา แล้วรู้สิ่งนั้นตามธรรมชาติที่มันเป็น
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิงวิหะระติ
สภาวะหรือธรรมชาติใดอันเกิดขึ้น ก็รู้ความเกิดขึ้นของธรรมชาตินั้น ธรรมชาติใดที่ดับ ก็รู้การดับไปของธรรมชาตินั้น ไม่ได้ทำอะไร แค่รู้การเกิดดับของมันเท่านั้นเอง
เมื่อเราเข้าสู่ช่องทางของลมหายใจที่ถูกต้อง สภาพรู้ก็จะเกิดขึ้น รู้เกิดจากที่เรารู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่องบ่อยๆ จนสภาพรู้ปรากฏเป็นธรรมชาติของมัน ทำหน้าที่รู้กายรู้ใจ รู้การกระเพื่อมของกายใจ การเคลื่อนไหวของกายใจ รู้ไปเรื่อยๆจนรู้ทะลุทะลวงแรงกระเพื่อมทั้งหลาย เข้าไปสู่ความเป็นจริง แท้จริง ของกายใจ ความเป็นจริงของกาย ของใจ จะเหมือนกัน คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวรู้จึงทำให้เราเข้าสู่ธรรมชาติแท้ๆของใจ
ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปตวา ดำรงสติอยู่เฉพาะหน้า คือเริ่มตั้งตัวรู้ ไม่ใช่ตั้งตัวเรา ลมหายใจเป็นยังไง กาย จิตเป็นยังไง มันก็รู้ตามธรรมชาติ ในความเป็นอย่างนั้น
ฌาน มี ๒ อย่าง ฌานที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ และ ไม่สรรเสริญ พราหมณ์ชื่อโคปกโมคคัลลานะ
เวลาเราทำสมาธิ เรามักจะหลงผิดไปจากความเป็นจริง ไหลไปกับสภาวะที่เราไม่ได้รู้มัน
ฌานที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ คือ ฌานสติบริสุทธิ์ มีอุเบกขาเป็นฐาน จะเกิดเป็นลำดับชั้นขึ้นมา เป็นหิริโอตตัปปะ อินทรียสังวรณ์ เป็นศีล จนในที่สุดเป็นนิพพิทาวิราคะตามลำดับ
แต่ฌานที่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ ยังเต็มไปด้วยอำนาจของกามราคะ พยาบาท อวิชชา ไม่สามารถที่จะทำให้เบาบางลงไปได้
เราลองดูว่าเราทำสมาธิ แล้วโทสะ กามราคะ อิจฉาริษยา ความหงุดหงิด อัตตาตัวตน เบาบางลงไหม
หรือยังเหมือนเดิม ถ้าเหมือนเดิม แสดงว่าสมาธิที่เราได้มา ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
ตัวรู้ ประกอบไปด้วย สติ สัมปชัญญะ อุเบกขา
ถ้าตัวรู้ร่วงลงไปอยู่ในสภาวะใดก็ตาม จำสำคัญในสภาวะนั้น ตัวรู้จะกลายเป็นเรา อุเบกขาหาย
ปรับท่าที รู้ทันกาย ทันใจของตัวเอง รู้ทันการกระเพื่อมของกายใจตัวเอง
#อานาปานสติ