กลับมากันต่อกับครึ่งหลังกับเรื่องที่ผมอยากจะบอกตลอดที่ผ่านมาในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่เสียเวลาเรามาต่อกันเลย
- ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว ผมกำลังศึกษาการวิจารณ์คอนเสิร์ตให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน การตั้งใจฟังและคิดตามรวมไปถึงหาข้อมูลเพิ่มเติม เอาจริงๆนะผมเองอาจรู้ไม่เท่านักดนตรีหรอก แต่ว่าหลังจากที่นำแนวคิดการวิจารณ์ดนตรีคลาสสิกให้มากขึ้นทำให้เราฟังเพลงได้สนุกและเรียนรู้ได้หลายเรื่องแต่น่าเสียดายที่ว่าผมไม่มีเพื่อนที่จะพูดเรื่องนี้ได้สนิทใจได้สักคนนี่แหละ (เดี๋ยวจะขยายเพิ่มเติม)
- ในช่วงที่ผ่านมานี้ผมซื้อแผ่นซีดีเพลงคลาสสิกมากขึ้นในลักษณะ Box Set เช่นเคย โดยผมซื้อผ่านทาง Amazon เหมือนเคยแต่เพิ่มเติมคือผมสำรวจ Amazon จากหลายๆประเทศทั่วโลกที่ซื้อได้นำมาเปรียบเทียบราคาและการหัดรอให้ราคาลงมาจนคิดว่าเราสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกที่สุดตามเทศกาลช้อปปิ้งต่างๆ อย่างเช่นในช่วง Black Friday ไปจนถึงต้นปีใหม่ที่ผ่านมา โดยรวมแล้วผมคงหมดไปกับการซื้อ Set น่าจะเป็น 10 เซ็ตเลยที่เดียว จนแทบหาขึ้นเก็บยากขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกว่าซื้อสะใจไปเลย แต่สิ่งที่น่าจะอยู่ตรงกับข้ามกับจำนวน CD ที่มีมากขึ้นก็คือการหาโอกาสฟังนี่แหละก็เพราะว่าก็มี Podcast ฟังประจำอยู่แล้วและยังฟังเพลงงผ่าน streaming อีกก็มีบ้างที่พกไปฟังในรถแต่ก็นานๆทีถึงจะจบแผ่นได้
- ในส่วนของการฟังเพลงผ่าน streaming ถือว่าเป็นช่วงเวลาทองมากๆในยุคนี้ที่มีมีหลายค่ายที่นำผลงานที่ Remaster จาก Analog ที่มาทำเป็น Boxset ออก streaming ให้ฟังมากขึ้น และมีแอพที่มีแนวทางการฟังเพลงแบบคลาสสิกออกใหม่มากขึ้น ที่มี Feature กลุ่มการแนะนำการฟังเพลงคลาสสิคที่หลายกลายเพราะธรรมชาติของแนวดนตรีนี้ที่แม้แต่เพลงหรือผลงานเดี่ยวกันที่ผู้บรรเลงต่างกัน และต่างคนต่างมีแนวทางการตีความที่ไม่เหมือนกัน แต่คุณภาพเสียงนั้นอาจจะยากที่จะฟังได้อย่างละเมียดละไมได้ ผมก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าการนำผลงานใหม่ๆนี่จะสร้างรายได้ในระยะยาวได้ แต่อย่างไรก็ดีช่วงนี้ผมก็ฟังผ่านทาง Youtube Music มากที่สุดอยู่ดีเพราะผมไม่จำเป็นจะต้องตามในผลงานหรือเข้าถึงการแนะนำผลงานเท่าไหร่ ผมหาข้อมูลจากนิตยสารดนตรีคลาสสิคแล้วมาฟังมากกว่า
- สำหรับในส่วนของแผ่นเสียงนั้นในช่วงปีที่ผ่านมาผมกลับซื้อแผ่นเสียงมากขึ้น โดยเฉพาะกับผลงานที่ทรงคุณค่าจริงๆเท่านั้น ที่มีทั้งใหม่จาก Amazon และมือสองที่ไปดูจาก Discogs ด้วย และผมซื้อเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบง่ายๆของ Audio-Technica มาต่อกับ Specker All in one ได้เสียงที่ดีมากๆเลย ในส่วนที่เกียวกับเรื่องนี้ผมจะเขียนแยกออกมาอีกทีแน่นอนครับ เพราะเป็นเรื่องที่คุยได้ยาวมากๆ
- ในหลายปีที่ผ่านมามีหนังหลายเรื่องทีมีเนื่อหาที่เกียวข้องกับดนตรีคลาสสิคมากมายและหนึ่งในนั้นคือเรื่อง Maestro ที่เป็นหนังที่เรื่องชีวิตของ Leonard Bernstein ที่จริงๆแล้วเมื่อดูจริงๆนี่คือหนักไม่แพ้ Oppenheimer และต้องมีความเข้าใจในชีวิตที่มีในเรื่องเยอะด้วย แต่ก็อย่างว่าละนะมันไม่ได้เป็นหนังกระแสหลักไม่พอ แล้วยังฉายจำกัดโรงเพื่อนำไปฉายต่อใน Netflix ยิ่งทำให้โอกาสที่จะเป็นที่พูดถึงยิ่งน้อยเข้าไปอีก ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะชิงรางวัลในหลายเวทีโดยเฉพาะออสการ์ส ก็น่าจะยากที่ชนะรางวัลมาได้ อย่างไรก็ดีผมก็ยังรู้สึกดีใจที่หนังเรื่องสร้างขึ้นมาประดับวงการดนตรีคลาสสิกที่มีมากกว่า Amadeus หรือแม้แต่ Fantasia และ Tar
- ตอนนี้ผมกำลังวางแผนที่จะทำช่อง Youtube หรือ Tiktok โดยมีสาเหตุสำคัญคือผมเหงาจากการไปฟังดนตรีคลาสสิกทั้งในส่วนของคอนเสิร์ตที่อยู่ในไทยและการฟังจากการบันทึกเสียงต่างๆจากเว็บหรือ CD ก็ตาม แต่ไม่มีใครจะเข้าใจหรือสนใจก็ตามหรืออาจจะคิดว่าการฟังดนตรีคลาสสิคเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฟังดนตรีที่มีหลากหลาย แต่ไม่ว่าอย่างไหร่ก็ตามผมก็ยังอยากจะทำก็เพราะเป็นความสนุกส่วนตัวที่ผมอยากทำมันอยู่ดี และแน่นอนผมก็ไม่ได้ขอให้ใครมาฟังผมหรือตามผมเช่นเดิม เพราะคงจะทำในลักษณะของ Video Blog มากกว่าที่พูดกับเพื่อนสนิทที่มองไม่เห็น แม้ที่ตลอดผ่านมารวมไปถึงในตอนนี้ผมอาจจะรู้สึกเหมือนกับการเขียนจดหมายถึงเพื่อนที่มองไม่เห็นเหล่านั้น มันเป็นช่วงเวลาที่เหงานะที่ไม่มีใครเข้าใจความชอบที่มีนเฉพาะเจาะจงมากขนานนี้ ประเทศไทยไม่ใช้ที่เหมาะแก่การฟังดนตรีคลาสสิกที่มีผู้เล่นมากกว่าคนที่สนใจจริงจัง แต่ผมหวังว่าถ้ามันไม่มีใครสักคนแต่อย่างน้อยก็มีหลักฐานค้างไว้ในโลกเผื่อที่จะมีใครสักคนมาเจอที่ว่าเมื่อถึงวันนั้น เป้าหมายในชีวิตของผมก็จะสมบูรณ์มากขึ้น
- ผมจะกลับมาเขียนบทความประจำสัปดาห์ให้ได้หลังจากที่ปล่อยไว้นานเกินไปจนบางทีเคยคิดถึงหลายหัวข้อที่อยากเขียนถึงและนึกถึงมากมายที่นักดนตรีคลาสสิคไทยไม่ค่อยพูดถึงหรือให้ความสนใจเท่าไหร่ นับจากนี้ถ้าผมเขียนในหัวข้อที่น่าสนใจ มันคงจะดีเหมือนกันที่คุณจะสามารถเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายต่อไปได้ ขอบคุณครับ