จะว่าไปแล้วนี่จะครบรอบ 1 ปีที่กลับมาทำบทความประจำสัปดาห์ที่เชื่อมกับรายการดนตรีคลาสสิกที่สถานีวิทยุจุฬา ที่แต่เดิมเชื่อมกับรายการดนตรีแจ๊ส เวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ แต่รายการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงหลังโควิดมาเลยที่เดียว เหตุผลหลักก็คือสุขภาพของผู้จัดเดิมที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดรายการไปไม่น้อย จากเดิมที่จัดทุกวันเป็นรายการสุดท้ายยาว 3 ชั่วโมงแล้วมีรายการเสริมในเสาร์อาทิตย์ จากจัดรายการสดมาเป็นบันทึกเทป เคยมีโปรแกรมรายการล่วงหน้า จนเหลือรายการเดียว 2 ชั่วโมงทุกวัน จนหายไปอยู่เป็นปี จึงกลับมา 2 ชั่วโมงทุกวันจนในที่สุดกลายเป็นรายการจัดเย็นวันเสาร์วันเดียว พร้อมกับลดเวลาออกอากาศลง (ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่สถานีลดเวลาตามไปด้วย)
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะผิดหวังและเสียดายแต่ข้อดีสำหรับผมในรูปแบบนี้คือผมตามรายการนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ผมเองก็คิดนะว่าจะมีใครสามารถที่จะจัดรายการอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปีแล้วยังต้องมีเนื้อหาที่น่าฟังไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เอาจริงๆผมก็รู้สึกเข้าใจเห็นใจแล้วเสียดายแทบผู้ฟังโดยส่วนใหญ่เพราะผู้คนจดจำและรู้สึกรายการนี้ทางสถานีวิทยุจุฬามากที่สุด และเป็นรายการที่อยู่คู่คลื่นนี้นานที่สุดเช่นกัน และมันรู้สึกไม่ดีถ้าจะบอกว่ามันเป็นรายการสื่อสาธารณะไม่กี่ที่ออกอากาศดนตรีคลาสสิกไทยที่เหลืออยู่ด้วย (ถ้านับรายการของนักโอโบสาวที่ช่วงหลังๆนี้เน้นคุยมากกว่าจะเปิดดนตรีเสียแล้ว) การจะหารายการลักษณะแบบนี้ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ในสมัยนี้แล้วไม่ต้องพูดถึงสถานีวิทยุที่เปิดดนตรีคลาสสิกโดยเฉพาะที่ผมมองว่าไม่มีทางจะสามารถเกิดขึ้นได้
จะว่าไปแล้วสิ่งหนึ่งที่ผมเขียนและพูดเสมอมาว่าเนื้อหาที่เกี่ยวกับดนตรีคลาสสิคส่วนใหญ่ในประเทศไทยหรือเป็นภาษาไทย (ถ้าไม่ใช่ทั้งหมด) ก็ล้วนมาจากนักดนตรีคลาสสิกอาชีพที่ทำขึ้นมาเพื่อเป็นการแนะนำว่าดนตรีคลาสสิกคืออะไร โดยมีเป้าหมายที่จะดึงหรือเชิญชวนให้คนไทยมาฟังดนตรีคลาสสิคที่พวกเขาเล่นให้มากกว่านี้ หรือเรียกร้องให้มีคนเรียนดนตรีคลาสสิกมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงๆคนไทยที่ฟังดนตรีคลาสสิกเป็นประจำมันมีน้อยเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงว่ามีกลุ่มคนที่ฟังเป็นประจำที่ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่สำคัญไม่แพ้คนฟังเลยที่น้อยกว่านั้นมาก
ผมมองว่าสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือการรักษาคนฟังที่มีอยู่และขยายความคิดให้ครอบคลุม เกิดไอเดียและเรื่องที่น่าสนใจที่พูดคุยระหว่างคนฟังดนตรีด้วยกันเอง นักดนตรีพูดคุยและบอกเล่าเนื่อหาที่พวกเขานสนใจ นอกจากนี้การการรับฟังคนฟังมีผลตอบรับที่ชัดเจนและหนักแน่นรวมไปถึงรับฟังประเด็นที่ผู้ฟังต้องการที่จะบอกให้นักดนตรีรับรู้ด้วย ซึ้งจะกลับไปพัฒนาการแสดงให้ดีขึ้นต่อๆไป เพราะดนตรีทุกประเภทไม่ใช่แค่คลาสสิกมันจะอยู่ได้ก็เพราะคนที่สนใจเข้าใจและเข้าถึง มันไม่ควรจะมีแค่ตัวนักดนตรี เพื่อนและญาติมาฟังกันเองอวยกันเองแล้วจบกันแต่วงการดนตรีก็จะไม่ได้ไปไหนเลย เมื่อผู้คนฟังมากขึ้นการพูดคุยและวิจารณ์ก็จะตามมาพัฒนาและสร้างสังคมคนฟังได้อย่างยั่งยืน และนักดนตรีก็จะพยายามพัฒนาฝีมือให้ตอบสนองสิ่งที่ผู้ฟังต้องการนำไม่สู่การแข่งขันทางดนตรีที่สร้างสรรค์ตามไปด้วย
สุดท้ายนี้การวิจารณ์คอนเสิร์ตที่ผมทำมาหลายปีที่เอาจริงๆผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าข้อมูลเหล่านี้มันจะถึงนักดนตรีหรือคนที่เกี่ยวข้องใดๆได้ เพราะผมคิดเอาเองว่าพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่บางครั้งผมก็อาจจะคิดผิดก็ได้ ตอนแรกผมก็ว่าจะเขียนไม่เยอะไปๆมาๆมันมือใส่ซะเละเลย หวังว่าในสัปดาห์หน้าจะมีเรื่องที่น่าสนใจมาพูดคุยกันอีก