ผมทราบมาว่าคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้ของวง Thailand Philharmonic Orchestra จะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายที่ Alfonso Scarano จะมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวาทยกร (Chief Conductor) ของวง ซึ่งถือเป็นมรดกทางดนตรีชิ้นสุดท้ายที่ตกทอดมาจากสุกรี เจริญสุข หลังจากที่ Scarano สิ้นสุดการทำงานในฐานะหัวหน้าวาทยกรและกลับไปที่อิตาลี แม้ยังไม่แน่ชัดว่าเขาจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าวาทยกรต่อไปหรือไม่ แต่เราคงได้เห็นเขาในวงการดนตรีต่อไปแต่คงจะไม่ได้เห็นเขากลับมาที่ประเทศไทยอีกนาน ผมจึงอยากแบ่งปันความทรงจำที่มีกับเขา และพูดถึงอนาคตของวง Thailand Philharmonic ต่อจากนี้
ความทรงจำกับ Alfonso Scarano
Alfonso Scarano เป็นวาทยกรชาวอิตาลีที่ได้รับการศึกษาและอิทธิพลทางดนตรีจากยุโรป ซึ่งเน้นความเข้มข้นและลึกซึ้งในแนวคิดทางดนตรี จากประสบการณ์ของเขาที่ทำงานกับวงดนตรีหลากหลายแห่งในยุโรป แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในดนตรีคลาสสิกได้เป็นอย่างดี แม้ว่าการย้ายมาทำงานในเอเชียอาจถูกมองว่าเป็นการ "ตกต่ำ" ในสายตาวาทยกรบางคน โดยเฉพาะในประเทศที่ดนตรีคลาสสิกไม่เป็นที่นิยมเช่นประเทศไทย แต่ Scarano กลับมองว่าการได้ทำงานกับวง Thailand Philharmonic เป็นโอกาสที่ดี และเขาก็สามารถจัดการงานทั้งในไทยและในยุโรปได้อย่างลงตัว เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าวาทยกรของวง Thailand Philharmonic ตั้งแต่ฤดูกาล 2017-2018 จนถึงปัจจุบัน รวมเวลา 7 ฤดูกาล ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่นานพอสมควรสำหรับตำแหน่งนี้
Scarano ได้ต่อยอดงานของ Gudni A. Emilsson หัวหน้าวาทยกรคนก่อนหน้า ด้วยการบรรเลงผลงานที่มีความซับซ้อนและท้าทายจนสำเร็จลุล่วง ซึ่งวงดนตรีอื่นอาจไม่สามารถทำได้ เช่น การแสดงผลงานของ Bruckner และ Mahler หลายชิ้น รวมถึง “An Alpine Symphony” ของ Richard Strauss ซึ่งหลายๆ ผลงานเหล่านี้เป็น Thailand Premiere นอกจากนี้ Scarano ยังได้กล้าหาญนำผลงานที่ประพันธ์โดยคนไทยมาแสดงบนเวที เช่น ผลงานของ ปิยวัฒน์ หลุยลาภประเสริฐ
จุดเด่นของ Scarano ที่ถือว่าน่าสนใจมากคือความสามารถในการจัดการกับกลุ่มเครื่องสายได้อย่างเฉียบคมและหนักแน่น สร้างพลังให้กับวงดนตรีได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เขายังมีความท้าทายในส่วนของเครื่องลมทองเหลืองที่ฟังเบาลงจากปัญหาด้านอะคูสติก และเครื่องลมไม้ที่ยังคงมีมาตรฐานไม่สูงมาก แม้จะมีการจ้างอาจารย์จากต่างประเทศมาร่วมวงก็ตาม แต่โดยรวมแล้ว วง Thailand Philharmonic ภายใต้การนำของ Scarano ก็ยังมีคุณภาพที่ดีกว่าวง RBSO อย่างเห็นได้ชัด
จุดเริ่มต้นของผมกับคอนเสิร์ตของ Thailand Philharmonic
จุดเริ่มต้นของผมกับคอนเสิร์ตของ Thailand Philharmonic เกิดขึ้นในช่วงที่ Gudni A. Emilson กำลังจะสิ้นสุดบทบาทการทำงานของเขาพอดี และ Alfonso Scarano เริ่มมีบทบาทที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าวาทยกร (Chief Conductor) อย่างเป็นทางการ แม้ว่าในช่วงแรกๆ ผมจะรู้สึกตื่นเต้นกับผลงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่ Scarano ได้นำเสนอ และหลายๆ ชิ้นก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของผมจนถึงทุกวันนี้ แต่ในช่วงหลังๆ ผมกลับไม่ได้มีโอกาสไปชมการแสดงที่มหิดลสิทธาคารบ่อยนัก แม้ในปี 2020 ผมตั้งใจว่าจะไปชมการแสดง Symphony ทั้ง 9 บทของ Beethoven ที่ Scarano วางแผนจะบรรเลงภายในสองวัน ซึ่งน่าจะเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและน่าจดจำมาก แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้แผนการนั้นต้องถูกยกเลิกไป พร้อมกับการแสดงอื่นๆ ของเขาที่มีเพียงแค่สองครั้งในทั้งฤดูกาลนั้น
จนหลังจากนั้น ผมแทบจะไม่ได้ไปชมคอนเสิร์ตของเขาอีกเลยจนกระทั่งฤดูกาลที่ผ่านมานี้เอง เมื่อมีโอกาสได้ไปชมการแสดงบ่อยขึ้น ผมได้เริ่มกลับมาวิจารณ์การแสดงดนตรีของ Scarano อย่างต่อเนื่อง แล้วผมได้เริ่มวิเคราะห์และอธิบายแนวทางการตีความดนตรีของเขาอย่างจริง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมได้กลับมาเชื่อมโยงกับคอนเสิร์ตของ Thailand Philharmonic อีกครั้ง และกำลังจะไปสู่คอนเสิร์ตสุดท้ายภายใต้การนำของเขา
ทิศทางและจุดขายของวง Thailand Philharmonic
Thailand Philharmonic Orchestra (TPO) มีจุดขายที่แตกต่างจากวงอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับวง Royal Bangkok Symphony Orchestra (RBSO) คือการมีหัวหน้าวาทยกร (Chief Conductor หรือ CC) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมา TPO ได้รับการนำเสนอผลงานที่ท้าทายและลึกซึ้งตามแบบฉบับของ Scarano ซึ่งการมี CC เป็นการวางแนวทางและสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับวง แต่นั่นก็มาพร้อมกับการยึดติดกับความคิดและสไตล์ของวาทยกรคนนั้นๆ รวมไปถึงคอนเสิร์ตที่เขาไม่ได้คุมวงอีกด้วย ซึ้งมันจะส่งผลเสียต่อสมาชิกวงบางคน และคนที่อาจจะยังเข้าไม่ถึงดนตรีของเขาจนอาจจะออกจากวงก่อนที่จะหา CC คนต่อไป แต่ตั้งแต่ช่วงหลังโควิดเป็นต้นมา วง TPO ก็ยังไม่มีวาทยกรคนใดที่ได้มาคุมวงซ้ำในฤดูกาลเดียวกันเลย ซึ่งอาจจะสะท้อนถึงความท้าทายในการค้นหาผู้สืบทอด
แล้วถ้าคิดจะใช้แนวทางแบบวง RBSO ที่ไม่มีหัวหน้าวาทยกรประจำ (CC) แต่ให้สมาชิกหรือบอร์ดบริหารวงเป็นผู้กำหนดรายการการแสดง (Repertoire) แล้วเชิญวาทยกรและศิลปินเดี่ยว (Soloist) มาทำงานร่วมกัน ก็อาจจะทำให้วงมีความหลากหลายทางดนตรีมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะขาดความต่อเนื่องในแนวทางดนตรี และอาจไม่มีความก้าวหน้าในระดับสากลได้ เนื่องจากขาดความสม่ำเสมอในการนำเสนอและการพัฒนาวงโดยรวม
ความท้าทายในการหาวาทยกรประจำใหม่
การมีวาทยกรประจำในฐานะ Domestic หรือ Resident Conductor เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่วง TPO สามารถพิจารณาได้ แต่ในความเป็นจริงมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งเป็นที่ตั้งของวงมีวาทยกร Resident และ Domestic อยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ประทีป สุพรรณโรจน์, ธนพล เศตะพราหมณ์, ภมรพรรณ โกมลภมร รวมถึงวาทยกรผู้ช่วยอีกหลายคนที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็น Resident Conductor ในอนาคต ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่าจะมีความจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะเพิ่มบทบาทวาทยกรใหม่ในขณะที่ตัวเลือกที่มีอยู่ก็อาจจะเพียงพอแล้ว
สุดท้ายนี้ถึงแม้ว่าผมจะสนับสนุนการมีหัวหน้าวาทยกร (CC) ต่อไปสำหรับวง TPO แต่ในขณะนี้ผมยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้อย่างชัดเจน บางทีวงอาจจะต้องเว้นวรรคไปหนึ่งฤดูกาลเพื่อพิจารณาทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในอนาคต การเปิดโอกาสให้วาทยกรชาวไทยเข้ามารับหน้าที่นี้ก็อาจเป็นการยกระดับวงการดนตรีคลาสสิกไทยได้เช่นกัน และน่าจะเป็นเรื่องที่ดีในการพัฒนาและส่งเสริมดนตรีคลาสสิกในประเทศต่อไป