หลังจากที่ผมเขียนในลักษณะย้อนหลังจากรายการดนตรีคลาสสิกออกอากาศไปแล้ว ผมเลยพยายามเขียนก่อนออกอากาศเพื่อไม่รู้สึกเหมือนโดนกดดันที่เวลาผ่านไปนาน และในคราวนี้ผมเลยอยากจะพูดถึงคนหนึ่งที่บทบาทในวงการดนตรีคลาสสิกบ้านเราอย่างมากอย่างคุณ ดร. อัครวัฒน์ ศรีณรงค์หรือที่หลายคนจะเรียกกันอาจารย์เป้กันบ้าง จุดเริ่มต้นเดิมชื่อ ทวีเวท ศรีณรงค์ มีพ่อคือภูกร ศรีณรงค์ที่เป็นนักดนตรีของวง Bangkok Symphony มาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกและมีพี่น้องอีก 2 คน เนื่องจากเคยไปเรียนในโรงเรียนและสถาบันที่มีชื่อพอสมควรแม้ไม่ใช่ชั้นแนวหน้าก็ตามอย่าง Royal Academy of Music ประเทศอังกฤษ Yale School of Music และ Stony Brook University ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นต้น และเคยแสดงในคอนเสิร์ตในวงเยาวชนระดับทวีป วงสมัครเล่นในมหาวิทยาลัยหรือแม้แต่วงอาชีพระดับรองๆเยอะมาก แต่ที่ใหญ่สุดในความรู้สึกของผมคือ orpheus chamber orchestra ที่เป็นนักดนตรีสมทบ อาจารย์เป้มีแววว่าจะเก่งในดนตรีมาตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว ทำให้ได้รับทุนไปเรียนที่ต่างๆรวมไปถึงประกาศเกียรติคุณภายในประเทศเต็มไปหมด คงจะพูดได้ว่าเขาเป็นเด็กอัจฉริยะในวงการดนตรีคลาสสิคคนแรกๆของไทยเลยที่เดียว แต่เอาจริงๆแล้วผมหนะเสียดายความสามารถเขามากๆ ที่กลับมาประเทศไทยเร็วเกินไป เพราะถ้าเขายังอยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อหรือไปเป็นนักดนตรีอาชีพที่แสดงในยุโรปแล้วเขาน่าจะเป็นนักดนตรีที่เก่งพอที่สู้ในเวทียุโรปได้ สามารถที่จะอยู่แถวหน้าของวงรองๆหรือแถวหลังๆของวงใหญ่ได้ แม้ผมจะคิดว่าเขาไม่ได้เก่งในระดับที่เป็น Soloist หรือ Virtuoso ที่จะไปแข่งขันดนตรีในระดับโลกได้ก็ตาม แต่ก็น่าจะดีกว่ากลับมาเมืองไทยที่ด้วยความที่สังคมดนตรีคลาสสิคในประเทศไทยในสมัยนั้นถูกจำกัดให้กับคนมีฐานะที่จะเข้าถึงได้ ทั้งในแง่ของการเป็นการเรียนพิเศษหรือการไปฟังในคอนเสิร์ตที่อาศัยความเข้าใจในระดับที่ฟังแล้วรู้สึกไพเพราะได้จึงทำให้ชีวิตของการเป็นนักดนตรีคลาสสิคของเขาไม่ได้ก้าวหน้าในเวลานั้น ผมคิดว่าสาเหตุสำคัญคงเพราะเรื่องของการใช้ทุนและตอบแทนพระคุณของผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนมากกว่า แต่จุดเด่นที่อาจารย์เป้มีและถือว่ามีเยอะมากด้วยนั่นคือการมี Connection ที่หลากหลายและสามารถเข้าถึงผู้ใหญ่และผู้สนับสนุนที่ได้มาจากพ่อของเขา เหตุผลคือคุณภูกรก็เป็นนักดนตรีของวง BSO และเริ่มตั้ง Thai Youth Orchestra (TYO) ด้วยการสนับสนุนของสมเด็จพระพี่นางฯ ทำให้เข้าถึงผู้คนหลากหน้าหลายตาทำให้เขาคิดได้ว่าการทำดนตรีคลาสสิคหรือดนตรีแบบออเคสตร้าให้ย่อยง่ายและเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้จะทำให้คนไทยเข้าถึงดนตรีคลาสสิคมากขึ้นด้วย โดยจับกลุ่มกับน้อง 3 คนตั้งวง Vietrio ขึ้นมาออกเทปกับค่าย Grammy โดยเรียบเรียงเพลงที่ติดหูในเวลานั้นออกมาในลักษณะ Chamber Music ทำให้ได้ไปแสดงในหลายๆที่และเป็นกระแสดนตรีอยู่พักหนึ่ง ถึงแม้จะมีบทบาทน้อยลงหลังปี 2555 ก็ตาม และถ้าใครตามแกมานานพอสมควรจะพบว่าจากจุดนี้เองหลายสิ่งที่อาจารย์เป้เป็นในตอนนี้ก็เป็นการต่อยอดจาก Vietrio และการรับช่วงต่อการดูแลวง TYO เช่น การรับงานในวงการบันเทิงบ้าง ประสานงานให้มีนักดนตรีเยาวชนเข้าถึงวงในระดับทวีปหรือไปแสดงในยุโรป ทำเรื่องโครงการโปรโมตดนตรีคลาสิคในไทยอย่าง JEEB หรือทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับดนตรีเลยอย่างที่นอนหรือนาฬิกาเป็นต้น แต่เนื่องจากว่าที่มีงานรัดตัวมากๆนี้ อีกทั้งด้วยความที่เป็นคนที่เข้าสังคมเก่งทำให้บทบาทในฐานะนักดนตรีมีน้อยกว่าหลายๆคนมาก เพราะมีความรับผิดชอบที่หลากหลายนั้นเอง และจากที่ผมทราบมาว่าถ้าสามารถดันลูกหลานเข้าถึงสถาบันของเขาคือ VIEMUS (ที่จริงๆค่าเรียนก็แพงใช่ย่อยที่อยู่ Iconsiam) แล้วสามารถทำผลงานได้พอใจจะมีช่องทางที่แสดงมากกว่าที่อื่นอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะกับวง TYO ที่สมาชิกในวงนี้หลายคนเกี่ยวข้องกับโรงเรียนนี้เยอะมาก ถึงแม้ว่าด้วยธรรมชาติวงเยาวชนที่คุณภาพขึ้นๆลงๆตามเวลาที่นักดนตรีเข้ามา แต่อาจารย์เป้ก็ไม่ใช่คนที่เคี่ยวมากพอที่จะทำให้คุณภาพผลงานเป็นไปตามที่เข้าคิดสักเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ยังเชื่อว่าเป็นวงนี้เป็นวงออเครตร้าเยาวชนที่ดีที่สุดในไทยแล้ว แม้ว่าสุดท้ายผมคิดว่าอาจารย์เป้ไม่ค่อยมีโอกาสในฐานะดนตรีมากเท่าที่ควรทั้งที่มีสามารถ เพราะในอายุ 44 ที่นักไวโอลินหลายคนในวงออเครตร้าสามารถเป็น Concertmaster หรือยังเป็น Soloist ในระดับสูงอยู่ได้ยาวนาน แต่ผมรู้สึกว่าเขาคงพอใจกับหน้าที่การงานที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้วอาจจะเป็นผู้นำในวงการดนตรีดนตรีคลาสสิกในไทยต่อไป แต่ก็ผมก็คิดว่าคนที่เก่งดนตรีคลาสสิกในไทยมีไม่มากพอ เพราะที่คนแบบเขายังเป็นที่รู้จักในสังคมแค่นั้นเอง แล้วมันน่าจะมีคนรุ่นใหม่ที่มาทดแทนในฐานะศิลปินที่มีชื่อเสียงในแบบที่สิงคโปร์ ฮ่องกงหรือแม้แต่มาเลยเซียและพิลิปปินส์มีได้นานแล้ว และผมก็เชื่อสักวันจะเกิดขึ้นจะมีต่อไปแม้จะไม่รู้อีกเมื่อไหร่ก็ตาม.....