
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
พระพุทธเจ้าสอนอนัตตา สอนด้วยสภาพจิตคนที่ปกติ คือให้เข้าใจก่อน เป็นความจริงว่าสิ่งที่สมมุติทั้งหมดเป็นอนัตตา เวลาท่านสอน ท่านจะสอนเชิงสนทนา เวลาจะสอนอนัตตา อย่างว่าเมื่อเช้าวันนี้ที่พูดว่า รูปํ ภิกฺขเว อนตฺตา ภิกษุทั้งหลายรูปเป็นอนัตตา เวทนา อนตฺตา สญฺญา อนตฺตา สงฺขารา อนตฺตา และท่านก็บอกว่า ผู้ใดที่ฟังอย่างดีแล้วมีความเห็น เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก นี่ว่าอริยสาวกหรือว่าผู้ที่ฟังอย่างดีเยี่ยมแล้ว เกิดความเห็นอย่างนี้ เอวํ ปสฺสํ นี่แปลว่า มีความเห็นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ก็หมายความว่า ก่อนที่มันจะเห็นอย่างนี้ การฟังอย่างดีนะ การฟังอย่างดี หมายความว่า ฟังแล้วต้องไปพิจารณาย้ำซ้ำๆ จนมันเกิด เอวํ ปสฺสํ เกิดการเห็นอย่างนี้ คําของท่านนี่ข้ามไม่ได้เลย สําคัญมาก พอเราฟังแล้วเราไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเราไม่ได้ฟังอย่างดี ไม่ได้ฟังอย่างดีแล้วมันไม่เกิดเป็น เอวํ ปสฺสํ
แล้วก็ท่านบอกว่า เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ หมายความว่า ทฏฺฐพฺพํ พึงเห็นพึงทราบ สมฺมปฺปญฺญาย ด้วยปัญญาอันชอบ เอวเมตํ ยถาภูตํ ตามความเป็นจริง พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ คือคําของพระพุทธเจ้านะ ถ้าเราฟังด้วยใจที่ตั้งมั่นแล้วก็นํามาพิจารณา แต่ละคํา แต่ละคํา อย่างเราฟังผิวเผิน ฟังด้วยใจที่แบบปกติ
ท่านถามพระว่า “ภิกษุทั้งหลายสิ่งใดเป็นอนัตตา?”
พระก็ตอบว่า “ขอให้พระองค์ได้ขยายความนั้นโดยพิสดารเถิด”
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา” เวลาท่านพูดถึงอนัตตานะ ไม่ห่างจากขันธ์ อายตนะ ท่านพูดถึงขันธ์ ถึงอายตนะ
พอหลังจากนั้นท่านก็บอกว่า “สิ่งที่พวกเธอพึงละคืออะไร?” พระก็ตอบไม่ได้
ท่านก็บอกว่า “พวกเธอพึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา หมายความว่า ธรรมใดที่เป็นอนัตตา เธอพึงละฉันทะในธรรมนั้น แล้วเธอเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร?”
พระบอกว่า “พึงละฉันทะในรูป พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือรูป พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือเวทนา พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือสัญญา พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือสังขาร พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือวิญญาณ” นี่ก็ขันธ์ ๕ อีกแล้ว
ลองดูว่าฉันทะตัวนี้คืออะไร ฉันทะก็คือ ความพอใจ ความโน้มใจ ความเทใจ ความยินดี ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ แม้นเราเข้าใจว่ารูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา แต่เราเข้าไม่ถึงความเป็นอนัตตาด้วยใจ มันไม่เกิดความเห็นอย่างนี้ เวลามันเห็นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้เกิดจากการที่เราทําพิจารณาย้ำๆซ้ำๆ จนมันเกิดความเห็นอย่างนี้ ความเห็นอย่างนี้ที่เกิดขึ้นที่จิตตรงไปในรูปซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาได้ นั่นน่ะมันละฉันทะออกไป คือที่มันเห็นอย่างนั้นได้ ฉันทะจะถูกละออกไป
หลังจากนั้นท่านก็บอกอีก “ภิกษุทั้งหลาย เธอพึงละราคะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา พึงละราคะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา เธอเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร?”
พระก็จับทางได้แล้วใช่ไหม พระก็เลยตอบว่า “เข้าใจพระเจ้าค่ะ”
“เข้าใจว่าอย่างไร?”
พระบอก “พึงละราคะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือรูป พึงละราคะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
ราคะตัวนี้คืออะไร? ติด ใช่ไหม? ฉันทะ คือ ยินดี และ ราคะ คือ ติดข้อง พอมันเป็นราคะแล้วมันก็จะกลายเป็นอะไร? ฉันทราคะ ฉันทราคะ คือ ความติดข้องยินดี ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้เธอพึงละ
ทีนี้ละฉันทราคะในขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกเล่นหวย เล่นเบอร์ เลิกอะไรต่างๆมันยังง่ายนะ แต่การละฉันทราคะในขันธ์มันเป็นอื่นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เธอต้องเห็นด้วยปัญญาอันชอบ นี่สัมมัปปัญญา เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ สัมมัปปัญญานี่ แล้วท่านใช้คําว่า ทฏฺฐพฺพํ แปลว่า พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ คําว่า “ปัญญาอันชอบ” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า ปัญญาที่มันชอบ หมายความว่า ปัญญาที่มันเกิดขึ้นที่จิตเห็นตรงในความเป็นอนัตตา คือ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นจากการที่จิตเห็นความเป็นจริงนั้น ตรงกับสภาวะที่มันเกิด กับรูปที่มันเกิด กับเวทนาที่มันเกิด กับสัญญาที่มันเกิด สังขารที่มันเกิด วิญญาณที่มันเกิด จิตเห็นด้วยตัวของจิตเอง ตรงต่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มันเกิด ณ ขณะนั้นนะ นี่แหละเรียกว่า ด้วยปัญญาอันชอบ
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วันที่ 5-10 ธ.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดย พระกิตติวิมลเมธี (พระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผาราม วรวิหาร
พระพุทธเจ้าสอนอนัตตา สอนด้วยสภาพจิตคนที่ปกติ คือให้เข้าใจก่อน เป็นความจริงว่าสิ่งที่สมมุติทั้งหมดเป็นอนัตตา เวลาท่านสอน ท่านจะสอนเชิงสนทนา เวลาจะสอนอนัตตา อย่างว่าเมื่อเช้าวันนี้ที่พูดว่า รูปํ ภิกฺขเว อนตฺตา ภิกษุทั้งหลายรูปเป็นอนัตตา เวทนา อนตฺตา สญฺญา อนตฺตา สงฺขารา อนตฺตา และท่านก็บอกว่า ผู้ใดที่ฟังอย่างดีแล้วมีความเห็น เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก นี่ว่าอริยสาวกหรือว่าผู้ที่ฟังอย่างดีเยี่ยมแล้ว เกิดความเห็นอย่างนี้ เอวํ ปสฺสํ นี่แปลว่า มีความเห็นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ก็หมายความว่า ก่อนที่มันจะเห็นอย่างนี้ การฟังอย่างดีนะ การฟังอย่างดี หมายความว่า ฟังแล้วต้องไปพิจารณาย้ำซ้ำๆ จนมันเกิด เอวํ ปสฺสํ เกิดการเห็นอย่างนี้ คําของท่านนี่ข้ามไม่ได้เลย สําคัญมาก พอเราฟังแล้วเราไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเราไม่ได้ฟังอย่างดี ไม่ได้ฟังอย่างดีแล้วมันไม่เกิดเป็น เอวํ ปสฺสํ
แล้วก็ท่านบอกว่า เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ หมายความว่า ทฏฺฐพฺพํ พึงเห็นพึงทราบ สมฺมปฺปญฺญาย ด้วยปัญญาอันชอบ เอวเมตํ ยถาภูตํ ตามความเป็นจริง พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ คือคําของพระพุทธเจ้านะ ถ้าเราฟังด้วยใจที่ตั้งมั่นแล้วก็นํามาพิจารณา แต่ละคํา แต่ละคํา อย่างเราฟังผิวเผิน ฟังด้วยใจที่แบบปกติ
ท่านถามพระว่า “ภิกษุทั้งหลายสิ่งใดเป็นอนัตตา?”
พระก็ตอบว่า “ขอให้พระองค์ได้ขยายความนั้นโดยพิสดารเถิด”
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา” เวลาท่านพูดถึงอนัตตานะ ไม่ห่างจากขันธ์ อายตนะ ท่านพูดถึงขันธ์ ถึงอายตนะ
พอหลังจากนั้นท่านก็บอกว่า “สิ่งที่พวกเธอพึงละคืออะไร?” พระก็ตอบไม่ได้
ท่านก็บอกว่า “พวกเธอพึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา หมายความว่า ธรรมใดที่เป็นอนัตตา เธอพึงละฉันทะในธรรมนั้น แล้วเธอเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร?”
พระบอกว่า “พึงละฉันทะในรูป พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือรูป พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือเวทนา พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือสัญญา พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือสังขาร พึงละฉันทะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือวิญญาณ” นี่ก็ขันธ์ ๕ อีกแล้ว
ลองดูว่าฉันทะตัวนี้คืออะไร ฉันทะก็คือ ความพอใจ ความโน้มใจ ความเทใจ ความยินดี ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ แม้นเราเข้าใจว่ารูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา แต่เราเข้าไม่ถึงความเป็นอนัตตาด้วยใจ มันไม่เกิดความเห็นอย่างนี้ เวลามันเห็นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้เกิดจากการที่เราทําพิจารณาย้ำๆซ้ำๆ จนมันเกิดความเห็นอย่างนี้ ความเห็นอย่างนี้ที่เกิดขึ้นที่จิตตรงไปในรูปซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาได้ นั่นน่ะมันละฉันทะออกไป คือที่มันเห็นอย่างนั้นได้ ฉันทะจะถูกละออกไป
หลังจากนั้นท่านก็บอกอีก “ภิกษุทั้งหลาย เธอพึงละราคะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา พึงละราคะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา เธอเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร?”
พระก็จับทางได้แล้วใช่ไหม พระก็เลยตอบว่า “เข้าใจพระเจ้าค่ะ”
“เข้าใจว่าอย่างไร?”
พระบอก “พึงละราคะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือรูป พึงละราคะในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาคือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
ราคะตัวนี้คืออะไร? ติด ใช่ไหม? ฉันทะ คือ ยินดี และ ราคะ คือ ติดข้อง พอมันเป็นราคะแล้วมันก็จะกลายเป็นอะไร? ฉันทราคะ ฉันทราคะ คือ ความติดข้องยินดี ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้เธอพึงละ
ทีนี้ละฉันทราคะในขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกเล่นหวย เล่นเบอร์ เลิกอะไรต่างๆมันยังง่ายนะ แต่การละฉันทราคะในขันธ์มันเป็นอื่นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เธอต้องเห็นด้วยปัญญาอันชอบ นี่สัมมัปปัญญา เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํ สัมมัปปัญญานี่ แล้วท่านใช้คําว่า ทฏฺฐพฺพํ แปลว่า พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ คําว่า “ปัญญาอันชอบ” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า ปัญญาที่มันชอบ หมายความว่า ปัญญาที่มันเกิดขึ้นที่จิตเห็นตรงในความเป็นอนัตตา คือ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นจากการที่จิตเห็นความเป็นจริงนั้น ตรงกับสภาวะที่มันเกิด กับรูปที่มันเกิด กับเวทนาที่มันเกิด กับสัญญาที่มันเกิด สังขารที่มันเกิด วิญญาณที่มันเกิด จิตเห็นด้วยตัวของจิตเอง ตรงต่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มันเกิด ณ ขณะนั้นนะ นี่แหละเรียกว่า ด้วยปัญญาอันชอบ
#พระกิตติวิมลเมธี #วัดบุปผาราม #อานาปานสติ #สติปัฏฐาน #ปฏิบัติธรรม #สมาธิ #สมาธิภาวนา #นั่งสมาธิ #วิปัสสนา #วิปัสสนากรรมฐาน #ปัญญา #ธรรมะในชีวิตประจำวัน #ธรรมะ #พระธรรมเทศนา #พุทธศาสนา #คำสอน #ความตั้งมั่น #จิตตสังขาร