
Sign up to save your podcasts
Or


การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
หลังจากเดินเป็นอย่างไรบ้าง เวลาเรามึนหัวเกิดจาก 3 สาเหตุ เพ่งเกินไป ตั้งใจเกินไป คือ ตั้งใจว่าไม่ให้ใจมันหลุดออกไปคิด ซึ่งใจเรานี้เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่คิด พอเราตั้งใจว่าจะไม่ให้มันคิด นั่นหมายความว่าเรากําลังอยู่ในการบังคับจ้องเพ่ง เราเคยชินกับการพยายามที่จะให้ทุกอย่างอยู่ในอํานาจของเราไม่เว้นแม้แต่การปฏิบัติธรรม พึงรู้ไว้นั่นคือเส้นทางของอาสวะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส ส่วนเส้นทางของธรรมะต้องถอยกลับมาจากสิ่งนั้น กลับมาแบบตั้งต้นเลยแบบเบาๆสบายๆ ความคิด ความกังวล ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นมันเอาใจเราไปหมดเลย แล้วเราก็พยายามที่จะหลีกหนี ควบคุม พอเราฟังธรรมะเข้าใจว่าต้องรู้ในกิริยารู้ในการเคลื่อนไหว เราก็มาแบบเดิมเลย จะต้องควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมด ต้องรู้เท่าทัน รู้ทุกอย่าง นั่นคือการออกไปเพื่อทําการควบคุมทุกอย่าง มันเป็นเราไม่ใช่รู้
ถ้าเรายืนนิ่งๆให้สบายๆสงบนิ่งๆ แล้วให้รู้อยู่อย่างนี้ แม้มีความตั้งใจในการยก ไม่สนใจในเรื่องของความตั้งใจ ตัวรู้เฝ้ารู้นิ่งเฉยอยู่ ถ้าเดินด้วยความว่าเรา มันก็จะเพิ่มพูนคําว่าเรา อัตตาตัวตนจะเพิ่มไปหมด แต่ถ้าเริ่มด้วยรู้ รู้นี้คือมันอยู่ข้างใน นิ่งอยู่ พอส้นยกขึ้นก็รู้ว่าส้นยกขึ้น ถ้าเราใช้สายตาเรามอง ตามองตรงนี้แต่มันเห็นนี่ เห็นนู่น เห็นนู่น เห็นนู่น เห็นหมดเลยแต่โฟกัสอยู่ที่เดียว รู้ที่ว่านี้ถ้าอยู่ข้างในนี้ มันไม่ใช่รู้อย่างเดียวนะ การที่ไปรู้อย่างเดียวนั่นคือเรา บังคับจ้องเล็งเพ่งไป ส้นยก เท้าย่าง เหยียบ จะได้อย่างเดียว แต่ถ้ารู้ไม่ใช่ รู้มันสบายๆ อยู่ข้างใน พอส้นยกขึ้นก็รู้ แต่รู้อยู่ข้างใน ย่างไปก็รู้ เหยียบไปก็รู้ รู้แบบเบาๆไม่ใช่รู้หนักๆ สิ่งที่ถูกรู้จะเป็นตัวถูกรู้ชนิดที่รู้ที่เราไปตามการแตะรู้นี้ จะแตะเบาๆ ไม่ได้แตะหนักๆ พอแตะหนักๆปั๊บหลุดเลยเป็นเรา รู้จะอยู่ข้างในไม่ได้ ความที่เป็นเราจะต้องแบบแตะหนัก ชัดเจน แจ่มแจ้ง
การฝึกของพระพุทธเจ้า ฝึกให้รู้รู้ในกิริยาที่เป็นธรรมชาติแล้วออกไปใช้ในชีวิตจริง อยู่กับกิริยาชีวิตได้ ในการรู้ลมต้องฝึกให้มากเพื่อที่จะให้รู้ตั้งมั่น คุ้นชินอยู่กับข้างใน เบื้องต้นในการฝึกเราต้องอาศัยให้รู้มีลมเป็นเครื่องอยู่ก่อน และรู้ที่จะรู้ลมเป็นครื่องอยู่ ก็คือ รู้ ที่รู้ลมเป็นธรรมชาติ
ถ้ารู้ที่เป็นอิสระนิ่งรู้เฉยอยู่แล้วก็รู้ลมที่เป็นจริง แม้นว่าเป็นลมที่บังคับ แต่รู้ไม่สนใจเรื่องของการบังคับ สนใจแค่ลมที่เป็นจริง แต่ตัวมันเองนิ่งเฉยอยู่ข้างใน รู้อย่างนี้เมื่อรู้ต่อไปเรื่อยๆ ความกําหนดตั้งใจที่จะไปสู่ลมจะไม่มี ตัวรู้ก็จะรู้ลมที่เป็นจริงตามธรรมชาติขึ้นมาในระยะปลายเมื่อมันตั้งมั่นแล้ว
เหมือนกันกับกิริยาที่เราเดิน ถ้ารู้ไม่อยู่ข้างในก็จะเป็นเราไปหมด รู้จะไม่มีความตั้งมั่น จิตจะไม่มีความตั้งมั่น การรู้ในกิริยาเดินก็ดี รู้ลมก็ดี ทั้งหมดนี้จะบ่มความตั้งมั่นของจิต ให้ตั้งมั่นอยู่ข้างใน
เมื่อรู้อยู่ข้างในเสียงกระทบปั๊บ มันรู้เลย พอรู้เสร็จแล้วถ้าเกิดความเข้าใจก็จะลงใจเป็นปัญญาของใจไปเลยไม่ต้องไปคิดอะไร รู้อยู่ข้างในอย่างนี้เรียกว่า รู้อยู่กับความตั้งมั่น เป็นที่ตั้งของธรรม อันนี้ที่เรียกว่าสติปัฏฐาน คือ ตัวรู้ตัวที่เป็นสตินี้ มีฐานของมันอยู่ข้างใน สติหรือตัวรู้จะต้องมีฐานเป็นที่ตั้งอยู่ข้างใน และฐานนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากการบ่มเพาะของการเรียนรู้ ไม่ใช่การบังคับของเราถ้าเราสามารถบังคับให้จิตเป็นสติปัฏฐานได้
ลองหลับตาแล้วเอารู้อยู่ภายใน ถ้าลมมาก็รู้ลมไปด้วย หูได้ยินเสียง ได้ยินแต่รู้อยู่ข้างใน รู้อยู่ข้างใน ได้ยินเสียงด้วย ลมมาก็รู้ด้วย ร่างกายมีอาการใดๆแสดงออกมา เขาก็ทําหน้าที่แค่นิ่งรู้อยู่อย่างอิสระอยู่ที่เดียว กายแสดงอาการอันใดออกมาก็รู้ ลมมาก็รู้ เสียงที่พูดออกไปกระทบกับหูก็รู้ แต่ไม่หลุดออกมาปรุงใดๆจากเสียงที่ได้ยิน ไม่หลุดออกไปปรุงใดๆจากกล้ามเนื้อที่กระตุก ไม่หลุดออกไปเพื่อจะปรุงสิ่งใดๆจากที่กระทบขึ้นมาที่มันรู้ อย่างนี้รู้อยู่ข้างใน รู้ที่อยู่ข้างในจะรู้อาการการแสดงของกายของใจได้ ถ้าหลุดออกไปคิด รู้ก็รู้ว่าความคิดเกิดขึ้น แค่นั้นเอง
ให้พวกเราได้สัมผัสสภาวะรู้นี้ไว้ และรู้ตัวนี้แหละที่จะทําหน้าที่วางฐานของสติ ให้สติอยู่กับฐานที่ถูกต้อง และสติที่อยู่กับฐานกายฐานใจ คือ ฐานของสตินี้ ถ้าสติตั้งอยู่ที่ฐานนี้ได้ด้วยการเพียรรู้ ก็จะเป็นสติปัฏฐานทันที ถ้าเป็นสติปัฏฐานเมื่อใด เมื่อนั้นเราเดินอยู่ในเส้นทางที่เรียกว่าเอกายนมรรค คือ เป็นเส้นทางเส้นเดียว ช่องทางเดียวที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนํามาชี้สําหรับผู้ที่จะดําเนินไปเพื่อ สตฺตานํ วิสุทฺธิยา คือ เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ของผู้ปฏิบัติ
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)การอบรมอานาปานสติสำหรับผู้เริ่มต้น วันที่ 26-28 ม.ค. 67 ณ วัดบุปผาราม กทม. โดยพระอาจารย์สุชีพ สุธมฺโม (พระกิตติวิมลเมธี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบุปผารามวรวิหาร
หลังจากเดินเป็นอย่างไรบ้าง เวลาเรามึนหัวเกิดจาก 3 สาเหตุ เพ่งเกินไป ตั้งใจเกินไป คือ ตั้งใจว่าไม่ให้ใจมันหลุดออกไปคิด ซึ่งใจเรานี้เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่คิด พอเราตั้งใจว่าจะไม่ให้มันคิด นั่นหมายความว่าเรากําลังอยู่ในการบังคับจ้องเพ่ง เราเคยชินกับการพยายามที่จะให้ทุกอย่างอยู่ในอํานาจของเราไม่เว้นแม้แต่การปฏิบัติธรรม พึงรู้ไว้นั่นคือเส้นทางของอาสวะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส ส่วนเส้นทางของธรรมะต้องถอยกลับมาจากสิ่งนั้น กลับมาแบบตั้งต้นเลยแบบเบาๆสบายๆ ความคิด ความกังวล ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นมันเอาใจเราไปหมดเลย แล้วเราก็พยายามที่จะหลีกหนี ควบคุม พอเราฟังธรรมะเข้าใจว่าต้องรู้ในกิริยารู้ในการเคลื่อนไหว เราก็มาแบบเดิมเลย จะต้องควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมด ต้องรู้เท่าทัน รู้ทุกอย่าง นั่นคือการออกไปเพื่อทําการควบคุมทุกอย่าง มันเป็นเราไม่ใช่รู้
ถ้าเรายืนนิ่งๆให้สบายๆสงบนิ่งๆ แล้วให้รู้อยู่อย่างนี้ แม้มีความตั้งใจในการยก ไม่สนใจในเรื่องของความตั้งใจ ตัวรู้เฝ้ารู้นิ่งเฉยอยู่ ถ้าเดินด้วยความว่าเรา มันก็จะเพิ่มพูนคําว่าเรา อัตตาตัวตนจะเพิ่มไปหมด แต่ถ้าเริ่มด้วยรู้ รู้นี้คือมันอยู่ข้างใน นิ่งอยู่ พอส้นยกขึ้นก็รู้ว่าส้นยกขึ้น ถ้าเราใช้สายตาเรามอง ตามองตรงนี้แต่มันเห็นนี่ เห็นนู่น เห็นนู่น เห็นนู่น เห็นหมดเลยแต่โฟกัสอยู่ที่เดียว รู้ที่ว่านี้ถ้าอยู่ข้างในนี้ มันไม่ใช่รู้อย่างเดียวนะ การที่ไปรู้อย่างเดียวนั่นคือเรา บังคับจ้องเล็งเพ่งไป ส้นยก เท้าย่าง เหยียบ จะได้อย่างเดียว แต่ถ้ารู้ไม่ใช่ รู้มันสบายๆ อยู่ข้างใน พอส้นยกขึ้นก็รู้ แต่รู้อยู่ข้างใน ย่างไปก็รู้ เหยียบไปก็รู้ รู้แบบเบาๆไม่ใช่รู้หนักๆ สิ่งที่ถูกรู้จะเป็นตัวถูกรู้ชนิดที่รู้ที่เราไปตามการแตะรู้นี้ จะแตะเบาๆ ไม่ได้แตะหนักๆ พอแตะหนักๆปั๊บหลุดเลยเป็นเรา รู้จะอยู่ข้างในไม่ได้ ความที่เป็นเราจะต้องแบบแตะหนัก ชัดเจน แจ่มแจ้ง
การฝึกของพระพุทธเจ้า ฝึกให้รู้รู้ในกิริยาที่เป็นธรรมชาติแล้วออกไปใช้ในชีวิตจริง อยู่กับกิริยาชีวิตได้ ในการรู้ลมต้องฝึกให้มากเพื่อที่จะให้รู้ตั้งมั่น คุ้นชินอยู่กับข้างใน เบื้องต้นในการฝึกเราต้องอาศัยให้รู้มีลมเป็นเครื่องอยู่ก่อน และรู้ที่จะรู้ลมเป็นครื่องอยู่ ก็คือ รู้ ที่รู้ลมเป็นธรรมชาติ
ถ้ารู้ที่เป็นอิสระนิ่งรู้เฉยอยู่แล้วก็รู้ลมที่เป็นจริง แม้นว่าเป็นลมที่บังคับ แต่รู้ไม่สนใจเรื่องของการบังคับ สนใจแค่ลมที่เป็นจริง แต่ตัวมันเองนิ่งเฉยอยู่ข้างใน รู้อย่างนี้เมื่อรู้ต่อไปเรื่อยๆ ความกําหนดตั้งใจที่จะไปสู่ลมจะไม่มี ตัวรู้ก็จะรู้ลมที่เป็นจริงตามธรรมชาติขึ้นมาในระยะปลายเมื่อมันตั้งมั่นแล้ว
เหมือนกันกับกิริยาที่เราเดิน ถ้ารู้ไม่อยู่ข้างในก็จะเป็นเราไปหมด รู้จะไม่มีความตั้งมั่น จิตจะไม่มีความตั้งมั่น การรู้ในกิริยาเดินก็ดี รู้ลมก็ดี ทั้งหมดนี้จะบ่มความตั้งมั่นของจิต ให้ตั้งมั่นอยู่ข้างใน
เมื่อรู้อยู่ข้างในเสียงกระทบปั๊บ มันรู้เลย พอรู้เสร็จแล้วถ้าเกิดความเข้าใจก็จะลงใจเป็นปัญญาของใจไปเลยไม่ต้องไปคิดอะไร รู้อยู่ข้างในอย่างนี้เรียกว่า รู้อยู่กับความตั้งมั่น เป็นที่ตั้งของธรรม อันนี้ที่เรียกว่าสติปัฏฐาน คือ ตัวรู้ตัวที่เป็นสตินี้ มีฐานของมันอยู่ข้างใน สติหรือตัวรู้จะต้องมีฐานเป็นที่ตั้งอยู่ข้างใน และฐานนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากการบ่มเพาะของการเรียนรู้ ไม่ใช่การบังคับของเราถ้าเราสามารถบังคับให้จิตเป็นสติปัฏฐานได้
ลองหลับตาแล้วเอารู้อยู่ภายใน ถ้าลมมาก็รู้ลมไปด้วย หูได้ยินเสียง ได้ยินแต่รู้อยู่ข้างใน รู้อยู่ข้างใน ได้ยินเสียงด้วย ลมมาก็รู้ด้วย ร่างกายมีอาการใดๆแสดงออกมา เขาก็ทําหน้าที่แค่นิ่งรู้อยู่อย่างอิสระอยู่ที่เดียว กายแสดงอาการอันใดออกมาก็รู้ ลมมาก็รู้ เสียงที่พูดออกไปกระทบกับหูก็รู้ แต่ไม่หลุดออกมาปรุงใดๆจากเสียงที่ได้ยิน ไม่หลุดออกไปปรุงใดๆจากกล้ามเนื้อที่กระตุก ไม่หลุดออกไปเพื่อจะปรุงสิ่งใดๆจากที่กระทบขึ้นมาที่มันรู้ อย่างนี้รู้อยู่ข้างใน รู้ที่อยู่ข้างในจะรู้อาการการแสดงของกายของใจได้ ถ้าหลุดออกไปคิด รู้ก็รู้ว่าความคิดเกิดขึ้น แค่นั้นเอง
ให้พวกเราได้สัมผัสสภาวะรู้นี้ไว้ และรู้ตัวนี้แหละที่จะทําหน้าที่วางฐานของสติ ให้สติอยู่กับฐานที่ถูกต้อง และสติที่อยู่กับฐานกายฐานใจ คือ ฐานของสตินี้ ถ้าสติตั้งอยู่ที่ฐานนี้ได้ด้วยการเพียรรู้ ก็จะเป็นสติปัฏฐานทันที ถ้าเป็นสติปัฏฐานเมื่อใด เมื่อนั้นเราเดินอยู่ในเส้นทางที่เรียกว่าเอกายนมรรค คือ เป็นเส้นทางเส้นเดียว ช่องทางเดียวที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนํามาชี้สําหรับผู้ที่จะดําเนินไปเพื่อ สตฺตานํ วิสุทฺธิยา คือ เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ของผู้ปฏิบัติ