
Sign up to save your podcasts
Or


คอร์สอานาปานสติ วัดป่าไม้แดง จ.เชียงใหม่ วันที่ 10-14 ธ.ค. 65 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.ณ สำนักปฏิบัติธรรมสวนป่าพุทธชยันตี อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
เมื่อเราฝึกได้ถูกต้อง มีสภาวะรู้ได้จริงๆ จะทำให้สติอัตโนมัติปรากฏ คือไม่ต้องไปตั้งใจใช้ในเรื่องป้องกันกระแสของอารมณ์ต่างๆ แล้วจะทำให้เราถอยจิตกลับมาตั้งให้ถูก เช่น เรื่องใดๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตในขณะจิต ถ้าผิดพลาดมีอกุศลเข้ามาเสียดแทงจิต จิตผู้รู้ที่เราฝึกฝนมา จะทำให้จิตถอยออกมาจากอกุศล สิ่งที่ผิดนั้น ท่าทีของจิตตั้งขึ้นได้ใหม่เพื่อตั้งให้มันถูก จิตผู้รู้ที่ผึกได้ มีกำลังแล้วจะมีความกล้าหาญ แกล้วกล้า องอาจ อดทน อดกลั้น ถอยออกจากสิ่งผิด แล้วตั้งท่าทีใหม่ ให้มันถูกได้ แต่ถ้าไม่มีจิตผู้รู้ที่ฝึกฝนอบรมมาอย่างดีพอ ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ขณะที่จิตผิดเป็นอกุศล ตกอยู่ในหลุมของอกุศล ไม่มีความเพ่งมองว่าผิดหรือถูกเลย แต่จะจมอยู่กับอารมณ์ชุ่มแช่ ปรุงแต่งให้อารมณ์มีอำนาจยิ่งขึ้น โอกาสที่จะถอยออกจากอกุศลไม่มีทาง
ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา เวรี วา ปน เวรินํ มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ ปาปิโย นํ ตโต กเร
จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด จะสร้างความพินาศย่อยยับให้กับผู้นั้นยิ่งกว่า โจรเห็นโจรแล้วสร้างความพินาศให้แก่กัน หรือยิ่งกว่า คนมีเวรเจอคู่เวรแล้วสร้างความพินาศให้แก่กัน
การทำตัวรู้ให้ถูก สภาพรู้เกิดขึ้นอย่างถูกวิธี สภาพรู้ที่มีกำลังจิตสามารถกลับตัวได้ทัน ไม่หมกมุ่นชุ่มแช่อยู่ในอารมณ์อันเป็นทาสของโมหะ เราเกลียดใครสักคนนึงถ้าไม่มีสภาพรู้ก็เกลียดอยู่อย่างนั้นเมตตาไม่ลง แต่สภาพรู้ที่มีกำลังจะจัดการให้เราถอยออกมาทำสิ่งที่ผิดนั้นให้ถูกต้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี้เป็นความอัศจรรย์ของรู้ไม่ใช่เรา
ในสติปัฏฐาน๔ ในกายคตาสติทั้งหมด เวลาพิจารณากาย เอาสภาพรู้ไปพิจารณาทั้งหมด เอาจิตผู้รู้ไปแตะรู้พิจารณากาย รู้กายในกาย ถ้าเป็นเราทำจะเป็นแค่การบริกรรม แต่ถ้าจิตผู้รู้จะสามารถเป็นกายในกายได้ ต่อไปจะเห็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของกายนั้น จิตผู้รู้ที่ถูกต้องจะเป็นอิสระเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ไม่ล็อคเป้าไม่ตั้งความปรารถนาใดๆ พิจารณาตรงไปในสิ่งที่ถูกรู้นั้นอย่างละเอียดแยบคาย ความเป็นจริงตามธรรมชาติของกายนั้นๆก็จะปรากฏชัดออกมา ในที่สุดแล้วก็เกิดปัญญา จิตสงบด้วยจิตผู้รู้จึงจะได้ปัญญา
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ คราใดที่บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ครานั้นผู้นั้นจะหน่ายในทุกข์ นั้นคือทางแห่งความบริสุทธิ์
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ คราใดที่บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ครานั้นเขาจะหน่ายในทุกข์ นั้นคือทางแห่งความบริสุทธิ์
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ คราใดที่บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ครานั้นผู้นั้นจะหน่ายในทุกข์ นั้นคือทางแห่งความบริสุทธิ์
นี้คือความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ของทุกสภาวะที่ปรากฏขึ้นมาแล้ว จิตผู้รู้ ถ้าเขามีรู้สิ่งที่ถูกตามความเป็นจริง ในที่สุดความเป็นจริงตามธรรมชาติของทุกๆสิ่งก็จะปรากฏออกมา นั้นคือหลักของไตรลักษณ์
ในแง่ของขันธ์๕ หรืออัตตาตัวตน ล้วนแต่อยู่ในสรรพธรรม สรรพสิ่ง ไม่มีจุดหนึ่งจุดใดในชีวิต ที่จะรอดพ้นจากความเป็นอนิจจังได้ เส้นผม หนัง กล้ามเนื้อ เลือดทุกหยด ธาตุทั้ง๔ ล้วนเป็นอนิจจังทั้งหมดทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าจึงเรียกรวมว่า
สัพเพ สังขารา อะนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารคือสิ่งปรุงแต่งทั้งหมด สัพเพ สังขารา ทุกขา แล้วสุดท้ายสิ่งที่ปรุงแต่งทั้งหลายนี้ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้สัพเพ ธัมมา อะนัตตา เมื่อไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มันจึงเป็นอนัตตา หาแก่นสาร หาตัวตนที่แท้จริงในสิ่งนั้นไม่ได้ มีแต่สมมติหมาย คาดหมาย เดาเอา หวังไว้ ยึดถือไว้ คาดหวังไว้ ทุกอย่างเป็นเหมือนคนที่เห็นต้นกล้วยแล้วต้องการจะหาแก่น เมื่อปลอกเปลือกออกไป จนหมดก็พบว่าไม่มีแก่น
ตัวรู้เมื่อเห็นความจริงตามธรรมชาติที่ปรากฏ ในที่สุดแล้วก็จะไปเจอความเป็นจริงตามธรรมชาติ ๓ ประการนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ปัญญาอันชอบ คือ ตัวรู้ที่เกิดจากสติสัมปชัญญะ แล้วเฝ้ารู้คลออยู่กับสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นกายและใจ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จนจิตผู้รู้นั้นมีกำลังบ่มขึ้นมา มาเป็นญาณ กำลังที่แกร่งกล้า
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
เราทำจิตผู้รู้ ให้จิตผู้รู้รู้กายในกาย คือลมหายใจ รู้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จนจิตผู้รู้มีกำลัง เมื่อมีกำลังมากก็จะเป็นจักขุกรณี จนเกิดเป็นญาณความอัศจรรย์ของจิตผู้รู้หรือตัวรู้ สามารถถอยจิตออกจากสิ่งที่ผิด แล้วตั้งจิตให้อยู่ในสิ่งที่ถูกได้
By พระอาจารย์สุชีพ สุธัมโม (พระกิตติวิมลเมธี)คอร์สอานาปานสติ วัดป่าไม้แดง จ.เชียงใหม่ วันที่ 10-14 ธ.ค. 65 นำปฏิบัติโดย พระกิตติวิมลเมธี (สุชีพ สุธมฺโม) วัดบุปผาราม กทม.ณ สำนักปฏิบัติธรรมสวนป่าพุทธชยันตี อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
เมื่อเราฝึกได้ถูกต้อง มีสภาวะรู้ได้จริงๆ จะทำให้สติอัตโนมัติปรากฏ คือไม่ต้องไปตั้งใจใช้ในเรื่องป้องกันกระแสของอารมณ์ต่างๆ แล้วจะทำให้เราถอยจิตกลับมาตั้งให้ถูก เช่น เรื่องใดๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตในขณะจิต ถ้าผิดพลาดมีอกุศลเข้ามาเสียดแทงจิต จิตผู้รู้ที่เราฝึกฝนมา จะทำให้จิตถอยออกมาจากอกุศล สิ่งที่ผิดนั้น ท่าทีของจิตตั้งขึ้นได้ใหม่เพื่อตั้งให้มันถูก จิตผู้รู้ที่ผึกได้ มีกำลังแล้วจะมีความกล้าหาญ แกล้วกล้า องอาจ อดทน อดกลั้น ถอยออกจากสิ่งผิด แล้วตั้งท่าทีใหม่ ให้มันถูกได้ แต่ถ้าไม่มีจิตผู้รู้ที่ฝึกฝนอบรมมาอย่างดีพอ ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ขณะที่จิตผิดเป็นอกุศล ตกอยู่ในหลุมของอกุศล ไม่มีความเพ่งมองว่าผิดหรือถูกเลย แต่จะจมอยู่กับอารมณ์ชุ่มแช่ ปรุงแต่งให้อารมณ์มีอำนาจยิ่งขึ้น โอกาสที่จะถอยออกจากอกุศลไม่มีทาง
ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา เวรี วา ปน เวรินํ มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ ปาปิโย นํ ตโต กเร
จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด จะสร้างความพินาศย่อยยับให้กับผู้นั้นยิ่งกว่า โจรเห็นโจรแล้วสร้างความพินาศให้แก่กัน หรือยิ่งกว่า คนมีเวรเจอคู่เวรแล้วสร้างความพินาศให้แก่กัน
การทำตัวรู้ให้ถูก สภาพรู้เกิดขึ้นอย่างถูกวิธี สภาพรู้ที่มีกำลังจิตสามารถกลับตัวได้ทัน ไม่หมกมุ่นชุ่มแช่อยู่ในอารมณ์อันเป็นทาสของโมหะ เราเกลียดใครสักคนนึงถ้าไม่มีสภาพรู้ก็เกลียดอยู่อย่างนั้นเมตตาไม่ลง แต่สภาพรู้ที่มีกำลังจะจัดการให้เราถอยออกมาทำสิ่งที่ผิดนั้นให้ถูกต้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี้เป็นความอัศจรรย์ของรู้ไม่ใช่เรา
ในสติปัฏฐาน๔ ในกายคตาสติทั้งหมด เวลาพิจารณากาย เอาสภาพรู้ไปพิจารณาทั้งหมด เอาจิตผู้รู้ไปแตะรู้พิจารณากาย รู้กายในกาย ถ้าเป็นเราทำจะเป็นแค่การบริกรรม แต่ถ้าจิตผู้รู้จะสามารถเป็นกายในกายได้ ต่อไปจะเห็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของกายนั้น จิตผู้รู้ที่ถูกต้องจะเป็นอิสระเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ไม่ล็อคเป้าไม่ตั้งความปรารถนาใดๆ พิจารณาตรงไปในสิ่งที่ถูกรู้นั้นอย่างละเอียดแยบคาย ความเป็นจริงตามธรรมชาติของกายนั้นๆก็จะปรากฏชัดออกมา ในที่สุดแล้วก็เกิดปัญญา จิตสงบด้วยจิตผู้รู้จึงจะได้ปัญญา
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ คราใดที่บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ครานั้นผู้นั้นจะหน่ายในทุกข์ นั้นคือทางแห่งความบริสุทธิ์
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ คราใดที่บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ครานั้นเขาจะหน่ายในทุกข์ นั้นคือทางแห่งความบริสุทธิ์
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ คราใดที่บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ครานั้นผู้นั้นจะหน่ายในทุกข์ นั้นคือทางแห่งความบริสุทธิ์
นี้คือความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ของทุกสภาวะที่ปรากฏขึ้นมาแล้ว จิตผู้รู้ ถ้าเขามีรู้สิ่งที่ถูกตามความเป็นจริง ในที่สุดความเป็นจริงตามธรรมชาติของทุกๆสิ่งก็จะปรากฏออกมา นั้นคือหลักของไตรลักษณ์
ในแง่ของขันธ์๕ หรืออัตตาตัวตน ล้วนแต่อยู่ในสรรพธรรม สรรพสิ่ง ไม่มีจุดหนึ่งจุดใดในชีวิต ที่จะรอดพ้นจากความเป็นอนิจจังได้ เส้นผม หนัง กล้ามเนื้อ เลือดทุกหยด ธาตุทั้ง๔ ล้วนเป็นอนิจจังทั้งหมดทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าจึงเรียกรวมว่า
สัพเพ สังขารา อะนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารคือสิ่งปรุงแต่งทั้งหมด สัพเพ สังขารา ทุกขา แล้วสุดท้ายสิ่งที่ปรุงแต่งทั้งหลายนี้ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้สัพเพ ธัมมา อะนัตตา เมื่อไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มันจึงเป็นอนัตตา หาแก่นสาร หาตัวตนที่แท้จริงในสิ่งนั้นไม่ได้ มีแต่สมมติหมาย คาดหมาย เดาเอา หวังไว้ ยึดถือไว้ คาดหวังไว้ ทุกอย่างเป็นเหมือนคนที่เห็นต้นกล้วยแล้วต้องการจะหาแก่น เมื่อปลอกเปลือกออกไป จนหมดก็พบว่าไม่มีแก่น
ตัวรู้เมื่อเห็นความจริงตามธรรมชาติที่ปรากฏ ในที่สุดแล้วก็จะไปเจอความเป็นจริงตามธรรมชาติ ๓ ประการนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ปัญญาอันชอบ คือ ตัวรู้ที่เกิดจากสติสัมปชัญญะ แล้วเฝ้ารู้คลออยู่กับสิ่งที่ถูกรู้อันเป็นกายและใจ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จนจิตผู้รู้นั้นมีกำลังบ่มขึ้นมา มาเป็นญาณ กำลังที่แกร่งกล้า
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
เราทำจิตผู้รู้ ให้จิตผู้รู้รู้กายในกาย คือลมหายใจ รู้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จนจิตผู้รู้มีกำลัง เมื่อมีกำลังมากก็จะเป็นจักขุกรณี จนเกิดเป็นญาณความอัศจรรย์ของจิตผู้รู้หรือตัวรู้ สามารถถอยจิตออกจากสิ่งที่ผิด แล้วตั้งจิตให้อยู่ในสิ่งที่ถูกได้