
Sign up to save your podcasts
Or


ถ้ายังเป็นรูปนาม นามรูปหรือเป็นรูปล้วนๆ เป็นนิมิตของสมถะ นี่คือความยากของมัน
ถ้าครูบาอาจารย์สอนแล้วเราเอาไปคิดตามถูกไหม? ถูกแต่เป็นสัญญา เป็นความจำของเราเอง เดี๋ยวมันก็ลืมใช่ไหม
แต่ถ้าเราไปทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจุดหนึงมันเกิดเห็นอาการ ความรู้สึกกับหนักนี่แยกออกจากกัน เห็นหนักเป็นอย่างนี้ความรู้สึกเป็นอย่างนี้เห็นชัดขึ้นมาด้วยตัวเองนะแล้วมันก็ไม่ลืมเลยจำตลอด ตรงนั้นเป็นปัญญา วิปัสสนาเกิดแล้ว
เพราะฉะนั้นเวลาไปทำไม่ต้องไปดูตัวรูปธาตุนี้นะ เพราะตัวรูปธาตุไม่มีความหมายอะไร
มันมีความหมายตรงที่มันมีนามใช่ไหม ที่เรารู้สึกหนัก เบา ใครบอก กายบอกหรือใจบอก? ใจบอกใช่ไหม? เพราะฉะนั้นก็ต้องดูที่ความรู้สึกหนักเบาไม่ใช่ไปดูกาย แต่ในกายมีความรู้สึกหนักเบาเรียกว่ารูปนาม เพราะฉะนั้นปฏิบัติวิปัสสนาถึงเริ่มต้นที่รูปนาม ไปเริ่มต้นที่รูปอย่างเดียวก็ไม่ได้ ไปเริ่มที่นามอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องดูที่รูปนามเพราะมันเกี่ยวข้องกัน แต่เราต้องอาศัยมันเป็นสะพานเพื่อก้าวไปสู่วิปัสสนา
กายนี้เป็นสังขารโดยธรรมชาติเพราะมันมีเวทนาอยู่ตลอด มันรู้สึกเฉยๆไม่ได้ มันมีเย็นร้อนอ่อนแข็งแฝงอยู่ แต่จิตรู้สึกเฉยๆได้ เพราะในช่วงที่มันไม่คิดก็มี ไปดูตัวนี้ ไปแยกตัวรู้สึกเฉยๆออกมา เพราะฉะนั้นรู้สึกเฉยๆมีได้แต่จิต จิตของเรามันเป็นวิสังขารหมายความว่ามันสามารถแยกออกได้ว่าคิดกับไม่คิดก็อันหนึง
ลำเลียงสติเข้าสู่จิตแนวเคลื่อนไหว
หลวงพ่อพระมหาดิเรก พุทธยานันโท
(ชุดสติเพื่อสุขภาพ 2557)
By Buddhayanandoถ้ายังเป็นรูปนาม นามรูปหรือเป็นรูปล้วนๆ เป็นนิมิตของสมถะ นี่คือความยากของมัน
ถ้าครูบาอาจารย์สอนแล้วเราเอาไปคิดตามถูกไหม? ถูกแต่เป็นสัญญา เป็นความจำของเราเอง เดี๋ยวมันก็ลืมใช่ไหม
แต่ถ้าเราไปทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจุดหนึงมันเกิดเห็นอาการ ความรู้สึกกับหนักนี่แยกออกจากกัน เห็นหนักเป็นอย่างนี้ความรู้สึกเป็นอย่างนี้เห็นชัดขึ้นมาด้วยตัวเองนะแล้วมันก็ไม่ลืมเลยจำตลอด ตรงนั้นเป็นปัญญา วิปัสสนาเกิดแล้ว
เพราะฉะนั้นเวลาไปทำไม่ต้องไปดูตัวรูปธาตุนี้นะ เพราะตัวรูปธาตุไม่มีความหมายอะไร
มันมีความหมายตรงที่มันมีนามใช่ไหม ที่เรารู้สึกหนัก เบา ใครบอก กายบอกหรือใจบอก? ใจบอกใช่ไหม? เพราะฉะนั้นก็ต้องดูที่ความรู้สึกหนักเบาไม่ใช่ไปดูกาย แต่ในกายมีความรู้สึกหนักเบาเรียกว่ารูปนาม เพราะฉะนั้นปฏิบัติวิปัสสนาถึงเริ่มต้นที่รูปนาม ไปเริ่มต้นที่รูปอย่างเดียวก็ไม่ได้ ไปเริ่มที่นามอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องดูที่รูปนามเพราะมันเกี่ยวข้องกัน แต่เราต้องอาศัยมันเป็นสะพานเพื่อก้าวไปสู่วิปัสสนา
กายนี้เป็นสังขารโดยธรรมชาติเพราะมันมีเวทนาอยู่ตลอด มันรู้สึกเฉยๆไม่ได้ มันมีเย็นร้อนอ่อนแข็งแฝงอยู่ แต่จิตรู้สึกเฉยๆได้ เพราะในช่วงที่มันไม่คิดก็มี ไปดูตัวนี้ ไปแยกตัวรู้สึกเฉยๆออกมา เพราะฉะนั้นรู้สึกเฉยๆมีได้แต่จิต จิตของเรามันเป็นวิสังขารหมายความว่ามันสามารถแยกออกได้ว่าคิดกับไม่คิดก็อันหนึง
ลำเลียงสติเข้าสู่จิตแนวเคลื่อนไหว
หลวงพ่อพระมหาดิเรก พุทธยานันโท
(ชุดสติเพื่อสุขภาพ 2557)