
Sign up to save your podcasts
Or
ความสำเร็จจากการปลูกเมลอนสายพันธุ์ญี่ปุ่นของคุณเฉินสุ่ยเหลียง
เมลอนสายพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นพืชตระกูลแตง มีหลายสายพันธุ์ กลิ่นหอม รสหวาน ฉ่ำอร่อย มีคุณภาพสูง ราคาสูง ผิวเปลือกมีลายตาข่ายสวยงาม แต่ยังมีสายพันธุ์ผิวเปลือกเรียบ เมื่อ 40-50 ปีก่อน ไต้หวันไม่มีคนปลูกเมลอนแบบนี้ คุณตาเฉินสุ่ยเหลียง(陳水良)เริ่มคิดปลูกเมลอนตอนอายุ 30 ปี พยายามค้นหาข้อมูลทั่วสารทิศ ต่อมาได้ข่าวว่ามีนักวิชาการเสินไจ้ฟา(沈再發) เรียนจบจากประเทศญี่ปุ่น วิจัยเรื่องการปลูกเมลอนโดยเฉพาะ จึงเดินทางไปสอบถามหาความรู้ และการปลูกเมลอนในสมัยก่อนต้องปลูกในโรงเรือนที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ ที่มีการควบคุมอุณหภูมิ ปริมาณน้ำ ความชื้น และการใส่ปุ๋ยที่พอเหมาะ โรงเรือนล้วนต้องนำเข้ามาจากญี่ปุ่น มีราคาสูงมาก แต่ไม่ละทิ้งความพยายาม ทำนาไปเก็บออมไป ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดต่อเนื่อง ในที่สุดตอนอายุ 50 ปีก็เก็บออมได้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อนำมาปลูกเมลอน
โรงเรือนปลูกแตงเมลอน อากาศถ่ายเทดี
นักวิชาการเสิ่นไจ้ฟาได้เตือนสติคุณตาเฉินว่า แม้จะเตรียมตัวทุกอย่างแล้ว แต่การก้าวข้ามอุปสรรคที่มีมาตรฐานการปลูกสูง ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมากๆ นักวิชาการเสิ่นยังบอกอีกว่า หากปลูกเมลอนลายตาข่ายสำเร็จภายใน 5 ปี ก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญปลูกเมลอนคนแรกของไต้หวันได้ คำพูดนี้ได้สร้างแรงกดดันมาก เป็นคำพูดที่ใช้ตัดสินใจเป็นเวลานานว่าจะปลูกเมลอนหรือไม่ พอถึงอายุ 50 ปี ท่านก็คิดอีกว่า หากปลูกสำเร็จก็คงอายุ 55 ปีแล้ว ถ้าหากอายุ 50 ปียังไม่เริ่มต้นปลูก เมื่อถึงอายุ 55 ปีแล้วค่อยปลูก ก็คงเหมือนเดิมคือเริ่มจาก 0 เพราะฉะนั้นการใช้เวลา 5 ปีในการปลูกให้สำเร็จก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ ดร.เสิ่นไจ้ฟาพูดนั้นเป็นความจริง ไม่ได้ตัดรอนความฝันของตัวเอง อีกทั้งยังขอบคุณที่ให้คำแนะนำ บอกทิศทางที่ถูกต้อง จนสามารถยืนหยัด ตามล่าความฝันที่ได้ทุ่มเททั้งกำลังทรัพย์ กำลังกาย และกำลังใจเป็นเวลา 7 ปี
คุณเฉินสุ่ยเหลียง นอกจากปลูกแตงเมลอนแล้ว ยังปลูกฟักทองเกาลัดคุณภาพดีด้วย
หลายคนบอกว่าต้องปลูกแตงในพื้นที่ดินร่วนปนทรายจึงเจริญเติบโตดี คุณตาเฉินบอกว่า คงไม่มีใครโง่เขลาแบบตัวเองที่ปลูกบนเขาที่มีความสูง 500 เมตร แต่ว่าหลังผ่านการทดลองปลูกและมีประสบการณ์แล้ว แตงที่ปลูกได้มีความสวยงามไม่แพ้เช่นกัน ปลูกตามคำแนะนำของนักวิชาการทุกอย่าง ก่อนเก็บเกี่ยว 20 วันต้องจำกัดปริมาณน้ำที่รด แต่เมื่อทำตามแล้วปรากฏว่าแตงเมลอนเฉาตายเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง แตงใกล้สุก มีพายุไต้ฝุ่นพัดเข้ามาพอดี คุณตาคิดในใจว่า ต้องแย่แน่นอน เมลอนคงจะเน่าหมด แต่เมื่อเข้าไปดูที่สวนปรากฏว่าแตงทุกลูกยังดีและสวยงามกว่าเดิมด้วย ในที่สุดจึงรู้ว่าที่มันสวยเพราะแตงได้รับน้ำเพียงพอ แม้ปัจจุบันคุณตาเฉินสุ่ยเหลียงอายุเกิน 70 แล้ว แต่ยังคงเข้าสวนตรวจตรา ทำงานในสวนทุกวัน เด็ดแตงและเถาที่ไม่สมบูรณ์ทิ้ง เหลือเพียง 1 เถาต่อ 1 ต้น เพื่อให้แตงได้รับสารอาหารเต็มที่ แตงเมลอนลายตาข่ายที่ขายเฉลี่ยลูกละอย่างน้อย 1,000 เหรียญไต้หวัน แม้ราคาแพง แต่ขายดิบขายดี เพราะเป็นแตงมีคุณภาพที่ได้รับการดูแลอย่างดี ใช้ปุ๋ยออร์แกนิค 100%
ฟักทองนอกจากนำมาปรุงอาหารแล้ว ยังสร้างสรรค์มูลค่าได้ด้วย
ปีนี้คุณตาอายุ 74 ปีแล้ว เคยได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นด้านการเพาะปลูกจากคณะกรรมการการเกษต ท่านมีที่ดินผืนหนึ่งอยู่ที่เขตซินเซ่อของนครไทจง ปลูกเมลอนลายตาข่ายสายพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นหลัก รองลงมาคือกะหล่ำปลี ฟักทอง เสาวรส แตงกวาเล็กและกระเจี๊ยบเขียว ท่านเป็นคนที่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับดิน ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรืออยู่ในสวนจะเดินเท้าเปล่า เพื่อสัมผัสความชื้น ความนุ่ม รวมทั้งอุณหภูมิของดิน ดังนั้นคุณตาจึงได้รับฉายา “คุณตาตีนเปล่า” ส่วนในเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ใช้วิธีปลูกเองขายเอง ปัจจุบันขายทางอินเตอร์เน็ตและส่งไปที่บ้าน คุณตาให้คำแนะเกษตรกรรุ่นใหม่ 3 ประการ โดยประการแรก ต้องดูแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบัน ประการที่ 2 ควรเลือกผลผลิตที่สร้างมูลค่า เพราะผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร นอกจากใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหารแล้ว ยังสามารถสร้างสรรค์มูลค่าอื่นได้ อย่างเช่น การแกะสลักตัวหนังสือหรือภาพลงบนฟักทองเพื่อเป็นผลงานด้านศิลปะ หรือทำกิจกรรมทางศาสนา ประการที่ 3 หากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ไต้หวันส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายเล็กและมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถปลูกปริมาณมากๆ ต้องดูแลผลิตผลให้มีคุณภาพ คุณตาบอกด้วยว่า ตนเองไม่ใช่ผู้โชคดีนัก ผ่านความลำบากมามาก บางครั้งเชื่อคนมากไปจนถูกหลอก แต่ไม่โทษชะตากรรม ชาตินี้ประกอบอาชีพเกษตรกร แต่หลังศึกษาหาเรียนรู้และประสบความสำเร็จแล้ว กลับเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านพูดปนหัวเราะว่า “เกิดชาติหน้า ก็ขอเป็นเกษตรกรอีก ขอให้สิ่งที่เรียน สิ่งที่รู้ในชาตินี้ ส่งต่อไปใช้ในชาติหน้าได้อีก”
คุณตาเฉินสุ่ยเหลียงชอบเดินเท้าเปล่าเพื่อสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
ความสำเร็จจากการปลูกเมลอนสายพันธุ์ญี่ปุ่นของคุณเฉินสุ่ยเหลียง
เมลอนสายพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นพืชตระกูลแตง มีหลายสายพันธุ์ กลิ่นหอม รสหวาน ฉ่ำอร่อย มีคุณภาพสูง ราคาสูง ผิวเปลือกมีลายตาข่ายสวยงาม แต่ยังมีสายพันธุ์ผิวเปลือกเรียบ เมื่อ 40-50 ปีก่อน ไต้หวันไม่มีคนปลูกเมลอนแบบนี้ คุณตาเฉินสุ่ยเหลียง(陳水良)เริ่มคิดปลูกเมลอนตอนอายุ 30 ปี พยายามค้นหาข้อมูลทั่วสารทิศ ต่อมาได้ข่าวว่ามีนักวิชาการเสินไจ้ฟา(沈再發) เรียนจบจากประเทศญี่ปุ่น วิจัยเรื่องการปลูกเมลอนโดยเฉพาะ จึงเดินทางไปสอบถามหาความรู้ และการปลูกเมลอนในสมัยก่อนต้องปลูกในโรงเรือนที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ ที่มีการควบคุมอุณหภูมิ ปริมาณน้ำ ความชื้น และการใส่ปุ๋ยที่พอเหมาะ โรงเรือนล้วนต้องนำเข้ามาจากญี่ปุ่น มีราคาสูงมาก แต่ไม่ละทิ้งความพยายาม ทำนาไปเก็บออมไป ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดต่อเนื่อง ในที่สุดตอนอายุ 50 ปีก็เก็บออมได้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อนำมาปลูกเมลอน
โรงเรือนปลูกแตงเมลอน อากาศถ่ายเทดี
นักวิชาการเสิ่นไจ้ฟาได้เตือนสติคุณตาเฉินว่า แม้จะเตรียมตัวทุกอย่างแล้ว แต่การก้าวข้ามอุปสรรคที่มีมาตรฐานการปลูกสูง ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมากๆ นักวิชาการเสิ่นยังบอกอีกว่า หากปลูกเมลอนลายตาข่ายสำเร็จภายใน 5 ปี ก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญปลูกเมลอนคนแรกของไต้หวันได้ คำพูดนี้ได้สร้างแรงกดดันมาก เป็นคำพูดที่ใช้ตัดสินใจเป็นเวลานานว่าจะปลูกเมลอนหรือไม่ พอถึงอายุ 50 ปี ท่านก็คิดอีกว่า หากปลูกสำเร็จก็คงอายุ 55 ปีแล้ว ถ้าหากอายุ 50 ปียังไม่เริ่มต้นปลูก เมื่อถึงอายุ 55 ปีแล้วค่อยปลูก ก็คงเหมือนเดิมคือเริ่มจาก 0 เพราะฉะนั้นการใช้เวลา 5 ปีในการปลูกให้สำเร็จก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ ดร.เสิ่นไจ้ฟาพูดนั้นเป็นความจริง ไม่ได้ตัดรอนความฝันของตัวเอง อีกทั้งยังขอบคุณที่ให้คำแนะนำ บอกทิศทางที่ถูกต้อง จนสามารถยืนหยัด ตามล่าความฝันที่ได้ทุ่มเททั้งกำลังทรัพย์ กำลังกาย และกำลังใจเป็นเวลา 7 ปี
คุณเฉินสุ่ยเหลียง นอกจากปลูกแตงเมลอนแล้ว ยังปลูกฟักทองเกาลัดคุณภาพดีด้วย
หลายคนบอกว่าต้องปลูกแตงในพื้นที่ดินร่วนปนทรายจึงเจริญเติบโตดี คุณตาเฉินบอกว่า คงไม่มีใครโง่เขลาแบบตัวเองที่ปลูกบนเขาที่มีความสูง 500 เมตร แต่ว่าหลังผ่านการทดลองปลูกและมีประสบการณ์แล้ว แตงที่ปลูกได้มีความสวยงามไม่แพ้เช่นกัน ปลูกตามคำแนะนำของนักวิชาการทุกอย่าง ก่อนเก็บเกี่ยว 20 วันต้องจำกัดปริมาณน้ำที่รด แต่เมื่อทำตามแล้วปรากฏว่าแตงเมลอนเฉาตายเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง แตงใกล้สุก มีพายุไต้ฝุ่นพัดเข้ามาพอดี คุณตาคิดในใจว่า ต้องแย่แน่นอน เมลอนคงจะเน่าหมด แต่เมื่อเข้าไปดูที่สวนปรากฏว่าแตงทุกลูกยังดีและสวยงามกว่าเดิมด้วย ในที่สุดจึงรู้ว่าที่มันสวยเพราะแตงได้รับน้ำเพียงพอ แม้ปัจจุบันคุณตาเฉินสุ่ยเหลียงอายุเกิน 70 แล้ว แต่ยังคงเข้าสวนตรวจตรา ทำงานในสวนทุกวัน เด็ดแตงและเถาที่ไม่สมบูรณ์ทิ้ง เหลือเพียง 1 เถาต่อ 1 ต้น เพื่อให้แตงได้รับสารอาหารเต็มที่ แตงเมลอนลายตาข่ายที่ขายเฉลี่ยลูกละอย่างน้อย 1,000 เหรียญไต้หวัน แม้ราคาแพง แต่ขายดิบขายดี เพราะเป็นแตงมีคุณภาพที่ได้รับการดูแลอย่างดี ใช้ปุ๋ยออร์แกนิค 100%
ฟักทองนอกจากนำมาปรุงอาหารแล้ว ยังสร้างสรรค์มูลค่าได้ด้วย
ปีนี้คุณตาอายุ 74 ปีแล้ว เคยได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นด้านการเพาะปลูกจากคณะกรรมการการเกษต ท่านมีที่ดินผืนหนึ่งอยู่ที่เขตซินเซ่อของนครไทจง ปลูกเมลอนลายตาข่ายสายพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นหลัก รองลงมาคือกะหล่ำปลี ฟักทอง เสาวรส แตงกวาเล็กและกระเจี๊ยบเขียว ท่านเป็นคนที่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับดิน ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรืออยู่ในสวนจะเดินเท้าเปล่า เพื่อสัมผัสความชื้น ความนุ่ม รวมทั้งอุณหภูมิของดิน ดังนั้นคุณตาจึงได้รับฉายา “คุณตาตีนเปล่า” ส่วนในเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ใช้วิธีปลูกเองขายเอง ปัจจุบันขายทางอินเตอร์เน็ตและส่งไปที่บ้าน คุณตาให้คำแนะเกษตรกรรุ่นใหม่ 3 ประการ โดยประการแรก ต้องดูแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบัน ประการที่ 2 ควรเลือกผลผลิตที่สร้างมูลค่า เพราะผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร นอกจากใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหารแล้ว ยังสามารถสร้างสรรค์มูลค่าอื่นได้ อย่างเช่น การแกะสลักตัวหนังสือหรือภาพลงบนฟักทองเพื่อเป็นผลงานด้านศิลปะ หรือทำกิจกรรมทางศาสนา ประการที่ 3 หากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ไต้หวันส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายเล็กและมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถปลูกปริมาณมากๆ ต้องดูแลผลิตผลให้มีคุณภาพ คุณตาบอกด้วยว่า ตนเองไม่ใช่ผู้โชคดีนัก ผ่านความลำบากมามาก บางครั้งเชื่อคนมากไปจนถูกหลอก แต่ไม่โทษชะตากรรม ชาตินี้ประกอบอาชีพเกษตรกร แต่หลังศึกษาหาเรียนรู้และประสบความสำเร็จแล้ว กลับเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านพูดปนหัวเราะว่า “เกิดชาติหน้า ก็ขอเป็นเกษตรกรอีก ขอให้สิ่งที่เรียน สิ่งที่รู้ในชาตินี้ ส่งต่อไปใช้ในชาติหน้าได้อีก”
คุณตาเฉินสุ่ยเหลียงชอบเดินเท้าเปล่าเพื่อสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด