ที่นี่ไต้หวัน

ที่นี่ไต้หวัน วันอังคารที่ 19 ธ.ค.2566


Listen Later

   ในครั้งนี้ขอนำเรื่องของผู้ประกอบการที่ปลูกผักสลัดในไต้หวันมาเล่าสู่กันฟัง เป็นการใช้ระบบอัจฉริยะมาช่วยปลูก ซึ่งก็คือ ฟาร์มซานซิน(三欣園藝) ที่อดีตเป็นผู้ปลูกออนซิเดียม แต่ปัจจุบันหันมาปลูกผักสลัดเพราะมองเห็นตลาดผักสลัดในไต้หวันที่มีมูลค่า 3 พันล้านเหรียญไต้หวัน เนื่องจากผู้คนบริโภคเยอะ แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่หน้าหนาวก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเพราะสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งนี้ ไต้หวันอาจต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ รอบด้าน เช่น อาจกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์รวมต่ำที่สุดในโลก การเกษตรต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายในอนาคต การมีประชากรวัยสูงอายุจำนวนมาก  การเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เป็นต้น สำหรับในส่วนของการยกระดับการผลิตทางการเกษตร การผลิตแบบทวนฤดูกาลและการมีอุปทานที่มีความเสถียร ปัจจัยทั้งสองวิธีอาจไม่สามารถเอาชนะได้มากที่สุด เพื่อแก้ไขประเด็นความขัดแย้ง 2 ประการ ดังนั้น การพัฒนาการเกษตรผ่านองค์ประกอบหลัก 2 ประการ ได้แก่ การเกษตรที่มีความแม่นยำ และโรงเรือนอัจฉริยะ จึงเป็นทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ สำหรับในไต้หวันมีผู้ประกอบการตัวอย่าง คือฟาร์มซานซินที่กำลังสร้างแบบจำลองการเกษตรที่แม่นยำ เป็นหนึ่งในผู้สร้างเรือนกระจกอัจฉริยะในประเทศ ตั้งอยู่ในเมืองเกษตรกรรมของเมืองหยุนหลินและเมืองเจียอี้

   สำหรับประวัติความเป็นมาของฟาร์มซานซิน ผู้ที่เป็นเจ้าของฟาร์มคือ คุณเจิงหมิงจิ้น(曾明進) เดิมประกอบอาชีพในแวดวงสื่อ ต่อมาหันมาปลูกออนซิเดียม และเมื่อ 7 - 8 ปีที่แล้ว เขาเปลี่ยนความสนใจไปที่การปลูกผักกาดหอม การเปลี่ยนจากพืชที่คุ้นเคยไปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่เพียงแต่ต้องศึกษาในเรื่องของการเพาะปลูก แต่ยังท้าทายกับการเปิดตลาดใหม่ด้วย ทั้งนี้ ผักกาดหอมเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรน้องใหม่ ผักกาดหอมเป็นพืชเมืองหนาว ในไต้หวันปลูกได้เพียง 3-4 เดือนในฤดูหนาว และไม่สามารถปลูกในฤดูร้อน ส่วนใหญ่อาศัยการนำเข้าเกือบทั้งหมด แต่หลังจากที่คุณเจิงหมิงจิ้นศึกษาเทคนิคการปลูกได้แล้วก็สามารถรับประกันผลผลิตผักกาดหอมให้กับลูกค้าได้ตลอดทั้งปี

    ฟาร์มซานซิน มีการร่วมมือกับบริษัท Jin Jhan (皆展) ที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตโรงเรือนกระจก คุณหูเจ๋อเจีย(胡哲嘉)รองผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเจียจั่น กล่าวว่า ยุคแรกๆ ในไต้หวันมีโรงเรือนกระจกมากมาย แต่เมื่อเกิดพายุไต้ฝุ่นหรือเกิดแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในไต้หวันบ่อย จะทำให้กระจกแตกได้ง่าย และเนื่องจากกระจกมีรูขุมขนขนาดเล็กๆ เมื่อใช้เป็นเวลานานก็จะมีตะไคร่น้ำจับ จำเป็นต้องใช้แรงงานคนในการทำความสะอาด แต่ว่ากระจกรุ่นใหม่มีการใช้แผ่นฟิล์ม F-Clean จะไม่กลัวปัญหาพายุไต้ฝุ่นและแผ่นดินไหว แสงผ่านได้สูง แม้จะมีตะไคร่น้ำเกาะแต่จะถูกชะล้างโดยอัตโนมัติหากฝนตกหนัก       คุณเจิงหมิงจิ้น ถือเป็นคนแรกที่ใช้ฟิล์ม F-Clean เพื่อสร้างเรือนกระจก

    ฟาร์มซานซินรุ่นแรกเป็นเรือนกระจกทดลอง และรุ่นที่สองเป็นเรือนกระจกสำหรับปลูกกล้วยไม้ แต่ปัจจุบันเรือนกระจกรุ่นที่ 3 เป็นเรือนกระจกอัจฉริยะ มีการใช้ฟิล์ม F-Clean และมี 2 ฟาร์ม โดยฟาร์มหนึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลโต่วหนานของเมืองหยุนหลิน ส่วนอีกฟาร์มหนึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลต้าหลิน เมืองเจียอี้ โดยทั้งสองฟาร์มมีเนื้อที่รวมทั้งหมด 500 ผิง(1,650 ตร.ม.) มูลค่าการสร้างกว่า 50 ล้านเหรียญไต้หวัน เทียบเท่ากับการลงทุน 100,000 เหรียญไต้หวันต่อ 3.3 ตร.ม. นอกจากจะใช้ในการปลูกผักกาดหอมแล้ว ยังมีห้องเพาะต้นกล้า สามารถตรวจสอบและควบคุมจากระยะไกล ข้อมูลจะถูกรวบรวมผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับ IoT เชื่อมต่อกับการวิเคราะห์ AI สำหรับเรือนกระจกรุ่นที่ 4 ที่กำลังวางแผนไว้มี 2 แห่ง มีพื้นที่ 9,900 ตารางเมตร และ 16,500 ตารางเมตร ตามลำดับ ต้นทุนโดยประมาณของเรือนกระจกรุ่นที่ 4 อยู่ที่ 270 ล้านเหรียญไต้หวัน

    คุณเจิงหมิงจิ้น เกิดในครอบครัวเกษตรกรรม เขาเห็นคุณทำเกษตรแต่ถูกพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ แม้ว่าเขาเข้าเรียนภาควิชาเกษตรในวิทยาลัยเกษตรเจียอี้ แต่เขาปฏิเสธการทำเกษตรและหันมาเลือกเรียนช่างไฟฟ้า ก่อนสำเร็จการศึกษามัธยมปลาย เห็นญาติๆ ถ่ายรูปและวิดีโอแต่งงาน หลังเกณฑ์ทหารแล้ว เขาเลือกไปทำงานด้านสื่อ เพราะในช่วงนั้นเคเบิลทีวีกำลังเฟื่องฟูในตไหวัน เมื่ออายุ 21 ปี เขาเปิดธุรกิจสื่อสาร และยังได้ชัยชนะตลาดโฆษณาในเมืองเจียอี้ด้วย แต่ต่อมาธุรกิจเริ่มซบเซา จากนั้นเขาเริ่มหันมาปลูกออนซิเดียม แต่เขาขาดความรู้ด้านนี้ จึงสอบเข้าเรียนสาขาพืชสวนของมหาวิทยาลัย เจียอี้ เขากลายเป็นนิสิตอาวุโส ในวัย 29 ปี แต่ก็มีโอกาสเรียนรู้เรื่องพืชตั้งแต่พื้นฐานเลย หลังจบการศึกษา เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมาคมการผลิตและการตลาดออนซิเดียม ทำหน้าที่ขยายตลาดออนซิเดียม นอกจากมีการส่งไม้ตัดดอก ดอกไม้กระถางสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา ในปี 2012 ยังขยายตลาดไปที่ฉางชุนในจีน เขาจัดโปรโมชันออนซิเดียมให้กับผู้ประกอบการด้านงานแต่งในท้องถิ่น โดยนำกล้วยไม้ออนซิเดียมจำนวน 6,000 ดอกประดับกับชุดแต่งงาน ต้นทุนของออนซิเดียมราคา 3 - 4 ล้านเหรียญไต้หวัน แต่ผู้ประการไม่ได้จ่ายเลย อย่างไรก็ตาม หลังจัดงานเสร็จสิ้น ผู้ประกอบการเจ้านี้ก็ได้กลายเป็นบริษัทรับจัดงานแต่งที่ใหญ่ที่สุดในฉางชุน

    คุณเจิงหมิงจิ้นบอกว่า ตลาดผักกาดหอมคล้ายรูปปิรามิด ยอดด้านบนเรียกว่า ใบอ่อน เก็บเกี่ยวได้ภายใน 2 สัปดาห์หลังปลูก ราคาต่อกิโลกรัมอาจสูง 800- 1,000 เหรียญไต้หวัน ฐานลูกค้าจะเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสหรืออิตาลีชั้นนำ โดยมีมูลค่าผลผลิตต่อปีประมาณ 200 - 500 ล้านเหรียญไต้หวัน แต่ปัจจุบันเขาขายผักกาดหอมสู่ตลาดระดับกลาง ราคาอยู่ที่ 200 -500 เหรียญไต้หวันต่อกิโลกรัม ฐานลูกค้าคือ โรงแรมฮั่นไหล ร้านปิ้งย่างอูม่า(屋馬燒肉) จินเซ่อซานไหม้(金色三麥) ฯลฯ มีมูลค่าการผลิตต่อปีประมาณ 1,000-1,500 ล้านเหรียญไต้หวัน อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มีมูลค่าการผลิตมากที่สุดยังคงเป็นตลาดระดับล่าง ราคาผักกาดหอมอยู่ที่ 150 - 200 เหรียญไต้หวันต่อกิโลกรัม กลุ่มลูกค้า ได้แก่ ร้านอาหารฮอตพอต เครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น McDonald's, KFC, Moss เบอร์เกอร์ และ Burger King มูลค่าการผลิตต่อปีเกิน 2 พันล้านเหรียญไต้หวัน ปัจจุบันเพียงแค่แมคโดนัลด์ก็ต้องการผักกาดหอมใบ 40 - 50 ตันทุกเดือน และต้องการผักกาดแก้วกว่า 100 ตันที่นำเข้าจากต่างประเทศ

...more
View all episodesView all episodes
Download on the App Store

ที่นี่ไต้หวันBy รจรัตน์ ยนต์สุวรรณ, Rti