
Sign up to save your podcasts
Or


ซูเปอร์มาร์เก็ต PX Mart (เฉวียนเหลียน–全聯) ผู้อยู่เบื้องหลังการโปรโมต “สับปะรดฝ่ามือ” เปิดเผยว่า ผลไม้ชนิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์ลมหนาวรุนแรงที่พัดเข้าสู่ไต้หวันในปี 2016 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสับปะรดพันธุ์ยอดนิยมอย่าง “จินจ้วน” (金鑽) ที่ปลูกในภาคใต้ของประเทศ ทำให้ผลผลิตที่ได้มีขนาดเล็กกว่ามาตรฐานเดิม ซึ่งปกติจะมีน้ำหนักเฉลี่ยต่อผลตั้งแต่ 1.2 กิโลกรัมขึ้นไป
สับปะรดฝ่ามือที่ขายในPX Mart
ในอดีต สับปะรดลูกเล็กเหล่านี้มักถูกนำไปแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ เนื่องจากขายเป็นผลสดได้ราคาต่ำ แต่เมื่อ PX Mart สังเกตว่าชาวสวนมีรายได้ลดลง ขณะเดียวกันผู้บริโภคที่อาศัยในครัวเรือนขนาดเล็กเริ่มมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป จึงทดลองคัดเลือกสับปะรดลูกเล็กเหล่านี้มาวางจำหน่ายในร้าน ผลปรากฏว่าได้รับความนิยมเกินคาด และกลายเป็นสินค้าประจำถาวรไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม ชื่อเดิมอย่าง “สับปะรดจินจ้วนลูกเล็ก” อาจไม่ดึงดูดใจผู้บริโภค PX Mart จึงตั้งชื่อใหม่ว่า “สับปะรดฝ่ามือ” หรือภาษาจีนว่า “ปาจั่งโฟ่งหลี” (巴掌鳳梨) เพื่อสื่อถึงขนาดที่สามารถถือได้ด้วยฝ่ามือเดียว โดยน้ำหนักต่อผลอยู่ที่ประมาณ 800–1200 กรัม และยังคงผ่านเกณฑ์ความสุกและความหวานตามมาตรฐานของระบบเกษตรสัญญา ปัจจุบัน สับปะรดที่ปลูกในพื้นที่ตั้งแต่เมืองผิงตงจนถึงเมืองเจียอี้ ที่มีลักษณะตรงตามเงื่อนไขนี้ ต่างก็ใช้ชื่อว่า “สับปะรดฝ่ามือ” ทั้งสิ้น
หงหมิงชง(洪銘聰) เลขาธิการสมาคมเกษตรตำบลเกาซู่ อธิบายว่า สับปะรดลูกเล็กในแต่ละพื้นที่มักมีชื่อเรียกต่างกัน เช่น ในภาคใต้เคยเรียกว่า “หวานใจ” (小甜心) แม้จะมีหลายพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ “จินจ้วน” ดังนั้นสับปะรดลูกเล็กที่พบทั่วไปก็มักจะมาจากพันธุ์นี้ ส่วนร้าน “อาเหม่ย” ในเมืองเจียอี้ก็มีขาย “สับปะรดเบบี้” (寶貝鳳梨) เป็นครั้งคราว หมายถึงผลขนาดเล็กน้ำหนักราว 600–800 กรัม โดยร้านปลูก 3 พันธุ์หลัก ได้แก่ จินจ้วน, สับปะรดมะม่วง และสับปะรดอวี้หลานฮัว ซึ่งมักได้ผลเล็กตามธรรมชาติ เจ้าของร้านจึงตั้งชื่อว่า “เบบี้” เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและสะท้อนภาพลักษณ์ผลไม้ขนาดจิ๋วที่น่ารัก
สับปะรดผลเล็กตามธรรมชาติ
สับปะรดลูกเล็กไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดในการเพาะปลูกเสมอไป แต่เป็นเรื่องปกติในธรรมชาติ เช่นเดียวกับนักเรียนในห้องเดียวกันที่มีรูปร่างต่างกัน แม้จะได้รับการดูแลเหมือนกันก็ตาม เนื่องจากการปลูกสับปะรดในไต้หวันค่อนข้างหนาแน่น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลผลิตขนาดไม่ถึงมาตรฐานตลาด โดยเฉพาะเมื่อเจอสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น ฝนหนักหรือภาวะแห้งแล้ง ต้นสับปะรดที่ยังโตไม่เต็มที่จะให้ผลขนาดเล็กเมื่อเข้าสู่ช่วงกระตุ้นให้ออกดอก นอกจากนี้ ยังมีสับปะรดที่เกิดจาก “การเก็บเกี่ยวรอบที่สอง” ของต้นเดิม หลังผ่านฤดูหนาว ซึ่งเรียกว่า “เอ้อตงไจ่二冬仔” หรือ “สับปะรดฤดูหนาวรอบสอง” ซึ่งก็มักมีขนาดเล็กเช่นกัน
สับปะรดลูกเล็ก มีจุดเด่นที่เนื้อละเอียด น้ำและเส้นใยน้อย ทำให้ความหวาน (เฉลี่ย ~14 °Brix) กระจายทั่วผล รสหวานกลมกล่อม ไม่บาดลิ้น และเก็บได้นาน ได้ชื่อทางการค้าว่า “เพชรหวาน” (蜜鑽鳳梨) โดยมีราคาถูกกว่าลูกใหญ่ จึงเป็นทางเลือกคุ้มค่าสำหรับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แม้เริ่มมีตลาด แต่ยังไม่เป็นที่นิยมหลัก ราคาขายต่ำกว่าแบบปกติ หากไม่มีระบบรับซื้อแบบพันธะสัญญา เกษตรกรมีความเสี่ยงขาดทุน เว้นแต่ความนิยมจะเพิ่มขึ้นจนราคาสูงพอเป็นแรงจูงใจในการผลิต
สับปะรดฝ่ามือ หวานอร่อย
By รจรัตน์ ยนต์สุวรรณ, Rtiซูเปอร์มาร์เก็ต PX Mart (เฉวียนเหลียน–全聯) ผู้อยู่เบื้องหลังการโปรโมต “สับปะรดฝ่ามือ” เปิดเผยว่า ผลไม้ชนิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์ลมหนาวรุนแรงที่พัดเข้าสู่ไต้หวันในปี 2016 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสับปะรดพันธุ์ยอดนิยมอย่าง “จินจ้วน” (金鑽) ที่ปลูกในภาคใต้ของประเทศ ทำให้ผลผลิตที่ได้มีขนาดเล็กกว่ามาตรฐานเดิม ซึ่งปกติจะมีน้ำหนักเฉลี่ยต่อผลตั้งแต่ 1.2 กิโลกรัมขึ้นไป
สับปะรดฝ่ามือที่ขายในPX Mart
ในอดีต สับปะรดลูกเล็กเหล่านี้มักถูกนำไปแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ เนื่องจากขายเป็นผลสดได้ราคาต่ำ แต่เมื่อ PX Mart สังเกตว่าชาวสวนมีรายได้ลดลง ขณะเดียวกันผู้บริโภคที่อาศัยในครัวเรือนขนาดเล็กเริ่มมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป จึงทดลองคัดเลือกสับปะรดลูกเล็กเหล่านี้มาวางจำหน่ายในร้าน ผลปรากฏว่าได้รับความนิยมเกินคาด และกลายเป็นสินค้าประจำถาวรไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม ชื่อเดิมอย่าง “สับปะรดจินจ้วนลูกเล็ก” อาจไม่ดึงดูดใจผู้บริโภค PX Mart จึงตั้งชื่อใหม่ว่า “สับปะรดฝ่ามือ” หรือภาษาจีนว่า “ปาจั่งโฟ่งหลี” (巴掌鳳梨) เพื่อสื่อถึงขนาดที่สามารถถือได้ด้วยฝ่ามือเดียว โดยน้ำหนักต่อผลอยู่ที่ประมาณ 800–1200 กรัม และยังคงผ่านเกณฑ์ความสุกและความหวานตามมาตรฐานของระบบเกษตรสัญญา ปัจจุบัน สับปะรดที่ปลูกในพื้นที่ตั้งแต่เมืองผิงตงจนถึงเมืองเจียอี้ ที่มีลักษณะตรงตามเงื่อนไขนี้ ต่างก็ใช้ชื่อว่า “สับปะรดฝ่ามือ” ทั้งสิ้น
หงหมิงชง(洪銘聰) เลขาธิการสมาคมเกษตรตำบลเกาซู่ อธิบายว่า สับปะรดลูกเล็กในแต่ละพื้นที่มักมีชื่อเรียกต่างกัน เช่น ในภาคใต้เคยเรียกว่า “หวานใจ” (小甜心) แม้จะมีหลายพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ “จินจ้วน” ดังนั้นสับปะรดลูกเล็กที่พบทั่วไปก็มักจะมาจากพันธุ์นี้ ส่วนร้าน “อาเหม่ย” ในเมืองเจียอี้ก็มีขาย “สับปะรดเบบี้” (寶貝鳳梨) เป็นครั้งคราว หมายถึงผลขนาดเล็กน้ำหนักราว 600–800 กรัม โดยร้านปลูก 3 พันธุ์หลัก ได้แก่ จินจ้วน, สับปะรดมะม่วง และสับปะรดอวี้หลานฮัว ซึ่งมักได้ผลเล็กตามธรรมชาติ เจ้าของร้านจึงตั้งชื่อว่า “เบบี้” เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและสะท้อนภาพลักษณ์ผลไม้ขนาดจิ๋วที่น่ารัก
สับปะรดผลเล็กตามธรรมชาติ
สับปะรดลูกเล็กไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดในการเพาะปลูกเสมอไป แต่เป็นเรื่องปกติในธรรมชาติ เช่นเดียวกับนักเรียนในห้องเดียวกันที่มีรูปร่างต่างกัน แม้จะได้รับการดูแลเหมือนกันก็ตาม เนื่องจากการปลูกสับปะรดในไต้หวันค่อนข้างหนาแน่น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลผลิตขนาดไม่ถึงมาตรฐานตลาด โดยเฉพาะเมื่อเจอสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น ฝนหนักหรือภาวะแห้งแล้ง ต้นสับปะรดที่ยังโตไม่เต็มที่จะให้ผลขนาดเล็กเมื่อเข้าสู่ช่วงกระตุ้นให้ออกดอก นอกจากนี้ ยังมีสับปะรดที่เกิดจาก “การเก็บเกี่ยวรอบที่สอง” ของต้นเดิม หลังผ่านฤดูหนาว ซึ่งเรียกว่า “เอ้อตงไจ่二冬仔” หรือ “สับปะรดฤดูหนาวรอบสอง” ซึ่งก็มักมีขนาดเล็กเช่นกัน
สับปะรดลูกเล็ก มีจุดเด่นที่เนื้อละเอียด น้ำและเส้นใยน้อย ทำให้ความหวาน (เฉลี่ย ~14 °Brix) กระจายทั่วผล รสหวานกลมกล่อม ไม่บาดลิ้น และเก็บได้นาน ได้ชื่อทางการค้าว่า “เพชรหวาน” (蜜鑽鳳梨) โดยมีราคาถูกกว่าลูกใหญ่ จึงเป็นทางเลือกคุ้มค่าสำหรับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แม้เริ่มมีตลาด แต่ยังไม่เป็นที่นิยมหลัก ราคาขายต่ำกว่าแบบปกติ หากไม่มีระบบรับซื้อแบบพันธะสัญญา เกษตรกรมีความเสี่ยงขาดทุน เว้นแต่ความนิยมจะเพิ่มขึ้นจนราคาสูงพอเป็นแรงจูงใจในการผลิต
สับปะรดฝ่ามือ หวานอร่อย