
Sign up to save your podcasts
Or


หน่อไม้ฝรั่งสีขาว สีเขียว สีม่วง ล้วนมีเอกลักษณ์ รสชาติต่างกัน เลือกซื้อยังไงให้ได้หน่อที่อร่อยสุด
คลิกฟังรายการที่นี่
หน่อไม้ฝรั่ง หรือ Asparagus ภาษาจีนเรียกว่า หลูสุ่น(蘆筍) เป็นผักกรุบกรอบ มีกลิ่นพิเศษเฉพาะตัว มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ได้รับฉายา “ราชาแห่งผัก” รายการในครั้งนี้จะพาคุณผู้ฟังไขข้อสงสัยของหน่อไม้ฝรั่งโดยผู้เชี่ยวชาญกันค่ะ เจิงก้วนเหวย(曾冠維) เจ้าของสวนหน่อไม้ฝรั่งก้วนฟง(冠豐蘆筍園)นครไถหนานบอกว่า หลังจากที่หน่อไม้ฝรั่งโผล่ขึ้นมาเหนือดินแล้วจะได้รับการกระตุ้นจากแสงอาทิตย์ เปลือกนอกของหน่อจากสีขาวค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียว ดังนั้น หน่อที่ยังไม่โผล่เหนือดินและเก็บเกี่ยวก่อนก็คือหน่อไม้ฝรั่งสีขาวนั่นเอง แต่ถ้าเก็บเกี่ยวตอนที่โผล่เหนือดินแล้วจะเป็นหน่อไม้ฝรั่งสีเขียว โดยปกติ หน่อสีเขียวมีรสชาติเข้มข้นกว่าหน่อสีขาว แต่ว่าหน่อสีขาวจะอ่อนและกรอบกว่า เพราะมีน้ำมากกว่า ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของหน่อไม้ฝรั่งทั้งสองสี จากหลักฐานของกรมอาหารและยาชี้ว่า ทั้งสองประเภทไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก
เจิงก้วนเหวย ไขข้อสงสัยของหน่อไม้ฝรั่ง
กัวหมิงฉือ(郭明池)ผู้ช่วยวิจัยสถานีปรับปรุงพันธุ์พืชอี้จู๋เขตนครไถหนานชี้ว่า ปัจจุบันไต้หวันปลูกหน่อไม้ฝรั่งมี 2 สีสายพันธุ์หน่อไม้ฝรั่งสีขาวที่นิยมปลูกได้แก่ ไถหนานเสี่ยนเบอร์ 1 และ 2 ส่วนสายพันธุ์หน่อไม้ฝรั่งสีเขียวจะเป็นไถหนานเสี่ยนเบอร์ 3 และ 4 นอกจากนี้ ในท้องตลาดของไต้หวันยังเห็นหน่อไม้ฝรั่งสีม่วงที่พบเห็นได้น้อยเช่นกัน ซึ่งสายพันธุ์นี้จะเก็บเกี่ยวหลังหน่อโผล่เหนือดิน เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งสีม่วงมีเส้นใยน้อยกว่า มีน้ำตาลสูงกว่า จึงหวานกว่าหน่อสีขาวและสีเขียว อีกทั้งยังมีอุดมไปด้วยแอนโทไซยานินที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่อย่างไรก็ตาม ในไต้หวันปัจจุบันยังไม่มีการเพาะปลูกหน่อไม้ฝรั่งสายพันธุ์สีม่วง
ถ้าไม่เก็บหน่อ ลำต้นจะโตสูงขึ้น แตกใบและกิ่งก้าน
หน่อไม้เมื่อโตเต็มที่จะกลายเป็นไม้ไผ่ แล้วหน่อไม้ฝรั่งที่โตเต็มที่จะกลายเป็นอะไร? คำตอบคือ หน่อไม้ฝรั่งโตเต็มที่ก็ยังคงเป็นหน่อไม้ฝรั่ง เพียงแต่ไม่เหมาะที่จะนำมากิน เราจะกินหน่ออ่อนที่โผล่เหนือพื้นดิน 2-3 วัน ถ้าไม่เก็บเกี่ยวก็จะโตสูงขึ้น แตกใบและกิ่งก้าน อาจจะสูงถึงตึก 1 ชั้นก็ได้ ซึ่งลำต้นของหน่อที่โตแล้วจะเรียกว่าลำต้นแม่พันธุ์ เพราะเป็นตัวรับแสงอาทิตย์ สังเคราะห์แสง เพื่อให้อาหารกับลำต้น ยอดอ่อน รวมทั้งหน่ออ่อนที่ยังใต้พื้นดิน เพราะฉะนั้น เกษตรกรต้องเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งทุกวัน ต้องมีประสบการณ์ดูความอ่อนของหน่อ จึงจะขายได้ราคาดี
หากเก็บหน่อไม้ฝรั่งไว้ในตู้เย็นให้วางหน่อตั้งตรง
ในเรื่องของการเลือกซื้อหน่อไม้ฝรั่งและเก็บรักษา เจิงก้วนเหวยบอกว่า สิ่งแรกดูความอวบแน่นจากโคนถึงปลาย อันดับที่ 2 ดูความตรงของหน่อ เปลือกสีเขียวสด ใบที่เป็นเกล็ดซ้อนยังไม่บาน อันดับที่ 3 ดูส่วนหัวหรือโคนของหน่อไม่แห้ง ไม่มีกลิ่น หากซื้อแล้วยังไม่กินทันที ควรใช้กระดาษทิชชูห้องครัวจุ่มน้ำเล็กน้อยห่อในส่วนของโคนให้ความชุ่มชื้น เก็บไว้ในตู้เย็นแบบตั้งตรง แต่ถ้าเก็บในกล่องหรือถุงเก็บความสดก็ยิ่งดี จะคงความสดมากขึ้น ส่วนฤดูกาลของหน่อไม้ฝรั่งในไต้หวันที่ปลูกแบบดั้งเดิมทั่วๆ ไปจะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิลดลงจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งเข้าสู่ภาวะจำศีล เกษตรกรจะหยุดการเก็บเกี่ยว ให้หน่อได้พัก เก็บสะสมสารอาหาร เพื่อรอฤดูใบไม้ผลิของปีถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ฤดูหนาวไม่ใช่ฤดูกาล แต่ยังมีหน่อไม้ฝรั่งสดกิน เพราะเมื่อ 10 กว่าปีก่อน มีการปรับปรุงพันธุ์ที่ปลูกในช่วงฤดูหนาว มีการเพาะในโรงเรือนที่ควบคุมอุณหภูมิ นอกจากนี้ หน่อไม้ฝรั่งที่ขายในท้องตลาดมีทั้งหน่อใหญ่และหน่อเล็ก เพราะอัตราการงอกของหน่อในแต่ละฤดูต่างกัน ช่วงฤดูใบไม้ผลิอัตราการแตกหน่อสัดส่วน 7 ต่อ 3 แต่ในทางตรงข้าม ช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง หน่อมีการใช้สารอาหารไปจำนวนมาก สัดส่วนแตกหน่อเป็น 3 ต่อ 7 และประการหนึ่ง ขึ้นสายพันธุ์ที่ปลูกด้วย เช่น หน่อไม้ฝรั่งสายพันธุ์แคลิฟอร์เนีย 157 หน่อใหญ่และยาวกว่าสายพันธุ์ไถหนานเบอร์ 3 และเบอร์ 4 และหน่อใหญ่จะกรอบกว่า แต่หน่อเล็กจะอ่อนกว่า ขึ้นกับความต้องการของผู้บริโภคว่าอยากได้แบบไหนด้วย
เลือกหน่อที่มีความอร่อย ดูจากภาพได้เลยจ้า
ไต้หวันเคยส่งหน่อไม้ฝรั่งขายไปทั่วโลก แต่ปัจจุบันอาศัยการนำเข้า ทั้งนี้ ในปี 1970 ไต้หวันเคยได้รับสมญา “ราชาหน่อไม้ฝรั่ง” มีการผลิตหน่อไม้ฝรั่งกระป๋องส่งขายต่างประเทศทั่วโลก ช่วงปลูกมากสุดประมาณ 120,000 ตันต่อปี เทียบกับปัจจุบันมากกว่า 5 เท่ากว่า หลังปี 1980 ตลาดการค้าและเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น การเป็นราชาหน่อไม้ฝรั่งก็ค่อยๆหายไป ปัจจุบัน มีทั้งปลูกในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ครองสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง นำเข้าหน่อไม้ฝรั่งสีเขียวจากไทยเป็นหลัก ครองสัดส่วน 70 - 80% รองลงมาเป็นออสเตรเลีย เม็กซิโก ส่วนหน่อสีขาวนำเข้ามาจากเปรูและจีน ส่วนพื้นที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งในไต้หวันที่มีปริมาณมากอยู่ในเมืองจางฮั่ว ครองสัดส่วน 50% รองลงมาเป็นเขตนครไถหนาน ครองสัด 20% แต่ไม่กี่ปีนี้ ทั้งเขตจางฮั่วและนครไถหนานปลูกหน่อไม้ฝรั่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลแนวโน้มการนำเข้าลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกในนครไถหนาน มีเกษตรรุ่นใหม่กลับบ้านเกิดปลูกมากขึ้น เพราะรายได้ดี มีความมั่นคง มีสมาคมเกษตรส่งเสริม มีการจัดตั้งแบรนด์หน่อไม้ฝรั่งของสมาคมเอง ชื่อ “หงเจียงจวีน紅將軍” เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในท้องตลาด
By รจรัตน์ ยนต์สุวรรณ, Rtiหน่อไม้ฝรั่งสีขาว สีเขียว สีม่วง ล้วนมีเอกลักษณ์ รสชาติต่างกัน เลือกซื้อยังไงให้ได้หน่อที่อร่อยสุด
คลิกฟังรายการที่นี่
หน่อไม้ฝรั่ง หรือ Asparagus ภาษาจีนเรียกว่า หลูสุ่น(蘆筍) เป็นผักกรุบกรอบ มีกลิ่นพิเศษเฉพาะตัว มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ได้รับฉายา “ราชาแห่งผัก” รายการในครั้งนี้จะพาคุณผู้ฟังไขข้อสงสัยของหน่อไม้ฝรั่งโดยผู้เชี่ยวชาญกันค่ะ เจิงก้วนเหวย(曾冠維) เจ้าของสวนหน่อไม้ฝรั่งก้วนฟง(冠豐蘆筍園)นครไถหนานบอกว่า หลังจากที่หน่อไม้ฝรั่งโผล่ขึ้นมาเหนือดินแล้วจะได้รับการกระตุ้นจากแสงอาทิตย์ เปลือกนอกของหน่อจากสีขาวค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียว ดังนั้น หน่อที่ยังไม่โผล่เหนือดินและเก็บเกี่ยวก่อนก็คือหน่อไม้ฝรั่งสีขาวนั่นเอง แต่ถ้าเก็บเกี่ยวตอนที่โผล่เหนือดินแล้วจะเป็นหน่อไม้ฝรั่งสีเขียว โดยปกติ หน่อสีเขียวมีรสชาติเข้มข้นกว่าหน่อสีขาว แต่ว่าหน่อสีขาวจะอ่อนและกรอบกว่า เพราะมีน้ำมากกว่า ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของหน่อไม้ฝรั่งทั้งสองสี จากหลักฐานของกรมอาหารและยาชี้ว่า ทั้งสองประเภทไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก
เจิงก้วนเหวย ไขข้อสงสัยของหน่อไม้ฝรั่ง
กัวหมิงฉือ(郭明池)ผู้ช่วยวิจัยสถานีปรับปรุงพันธุ์พืชอี้จู๋เขตนครไถหนานชี้ว่า ปัจจุบันไต้หวันปลูกหน่อไม้ฝรั่งมี 2 สีสายพันธุ์หน่อไม้ฝรั่งสีขาวที่นิยมปลูกได้แก่ ไถหนานเสี่ยนเบอร์ 1 และ 2 ส่วนสายพันธุ์หน่อไม้ฝรั่งสีเขียวจะเป็นไถหนานเสี่ยนเบอร์ 3 และ 4 นอกจากนี้ ในท้องตลาดของไต้หวันยังเห็นหน่อไม้ฝรั่งสีม่วงที่พบเห็นได้น้อยเช่นกัน ซึ่งสายพันธุ์นี้จะเก็บเกี่ยวหลังหน่อโผล่เหนือดิน เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งสีม่วงมีเส้นใยน้อยกว่า มีน้ำตาลสูงกว่า จึงหวานกว่าหน่อสีขาวและสีเขียว อีกทั้งยังมีอุดมไปด้วยแอนโทไซยานินที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่อย่างไรก็ตาม ในไต้หวันปัจจุบันยังไม่มีการเพาะปลูกหน่อไม้ฝรั่งสายพันธุ์สีม่วง
ถ้าไม่เก็บหน่อ ลำต้นจะโตสูงขึ้น แตกใบและกิ่งก้าน
หน่อไม้เมื่อโตเต็มที่จะกลายเป็นไม้ไผ่ แล้วหน่อไม้ฝรั่งที่โตเต็มที่จะกลายเป็นอะไร? คำตอบคือ หน่อไม้ฝรั่งโตเต็มที่ก็ยังคงเป็นหน่อไม้ฝรั่ง เพียงแต่ไม่เหมาะที่จะนำมากิน เราจะกินหน่ออ่อนที่โผล่เหนือพื้นดิน 2-3 วัน ถ้าไม่เก็บเกี่ยวก็จะโตสูงขึ้น แตกใบและกิ่งก้าน อาจจะสูงถึงตึก 1 ชั้นก็ได้ ซึ่งลำต้นของหน่อที่โตแล้วจะเรียกว่าลำต้นแม่พันธุ์ เพราะเป็นตัวรับแสงอาทิตย์ สังเคราะห์แสง เพื่อให้อาหารกับลำต้น ยอดอ่อน รวมทั้งหน่ออ่อนที่ยังใต้พื้นดิน เพราะฉะนั้น เกษตรกรต้องเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งทุกวัน ต้องมีประสบการณ์ดูความอ่อนของหน่อ จึงจะขายได้ราคาดี
หากเก็บหน่อไม้ฝรั่งไว้ในตู้เย็นให้วางหน่อตั้งตรง
ในเรื่องของการเลือกซื้อหน่อไม้ฝรั่งและเก็บรักษา เจิงก้วนเหวยบอกว่า สิ่งแรกดูความอวบแน่นจากโคนถึงปลาย อันดับที่ 2 ดูความตรงของหน่อ เปลือกสีเขียวสด ใบที่เป็นเกล็ดซ้อนยังไม่บาน อันดับที่ 3 ดูส่วนหัวหรือโคนของหน่อไม่แห้ง ไม่มีกลิ่น หากซื้อแล้วยังไม่กินทันที ควรใช้กระดาษทิชชูห้องครัวจุ่มน้ำเล็กน้อยห่อในส่วนของโคนให้ความชุ่มชื้น เก็บไว้ในตู้เย็นแบบตั้งตรง แต่ถ้าเก็บในกล่องหรือถุงเก็บความสดก็ยิ่งดี จะคงความสดมากขึ้น ส่วนฤดูกาลของหน่อไม้ฝรั่งในไต้หวันที่ปลูกแบบดั้งเดิมทั่วๆ ไปจะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิลดลงจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งเข้าสู่ภาวะจำศีล เกษตรกรจะหยุดการเก็บเกี่ยว ให้หน่อได้พัก เก็บสะสมสารอาหาร เพื่อรอฤดูใบไม้ผลิของปีถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ฤดูหนาวไม่ใช่ฤดูกาล แต่ยังมีหน่อไม้ฝรั่งสดกิน เพราะเมื่อ 10 กว่าปีก่อน มีการปรับปรุงพันธุ์ที่ปลูกในช่วงฤดูหนาว มีการเพาะในโรงเรือนที่ควบคุมอุณหภูมิ นอกจากนี้ หน่อไม้ฝรั่งที่ขายในท้องตลาดมีทั้งหน่อใหญ่และหน่อเล็ก เพราะอัตราการงอกของหน่อในแต่ละฤดูต่างกัน ช่วงฤดูใบไม้ผลิอัตราการแตกหน่อสัดส่วน 7 ต่อ 3 แต่ในทางตรงข้าม ช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง หน่อมีการใช้สารอาหารไปจำนวนมาก สัดส่วนแตกหน่อเป็น 3 ต่อ 7 และประการหนึ่ง ขึ้นสายพันธุ์ที่ปลูกด้วย เช่น หน่อไม้ฝรั่งสายพันธุ์แคลิฟอร์เนีย 157 หน่อใหญ่และยาวกว่าสายพันธุ์ไถหนานเบอร์ 3 และเบอร์ 4 และหน่อใหญ่จะกรอบกว่า แต่หน่อเล็กจะอ่อนกว่า ขึ้นกับความต้องการของผู้บริโภคว่าอยากได้แบบไหนด้วย
เลือกหน่อที่มีความอร่อย ดูจากภาพได้เลยจ้า
ไต้หวันเคยส่งหน่อไม้ฝรั่งขายไปทั่วโลก แต่ปัจจุบันอาศัยการนำเข้า ทั้งนี้ ในปี 1970 ไต้หวันเคยได้รับสมญา “ราชาหน่อไม้ฝรั่ง” มีการผลิตหน่อไม้ฝรั่งกระป๋องส่งขายต่างประเทศทั่วโลก ช่วงปลูกมากสุดประมาณ 120,000 ตันต่อปี เทียบกับปัจจุบันมากกว่า 5 เท่ากว่า หลังปี 1980 ตลาดการค้าและเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น การเป็นราชาหน่อไม้ฝรั่งก็ค่อยๆหายไป ปัจจุบัน มีทั้งปลูกในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ครองสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง นำเข้าหน่อไม้ฝรั่งสีเขียวจากไทยเป็นหลัก ครองสัดส่วน 70 - 80% รองลงมาเป็นออสเตรเลีย เม็กซิโก ส่วนหน่อสีขาวนำเข้ามาจากเปรูและจีน ส่วนพื้นที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งในไต้หวันที่มีปริมาณมากอยู่ในเมืองจางฮั่ว ครองสัดส่วน 50% รองลงมาเป็นเขตนครไถหนาน ครองสัด 20% แต่ไม่กี่ปีนี้ ทั้งเขตจางฮั่วและนครไถหนานปลูกหน่อไม้ฝรั่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลแนวโน้มการนำเข้าลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกในนครไถหนาน มีเกษตรรุ่นใหม่กลับบ้านเกิดปลูกมากขึ้น เพราะรายได้ดี มีความมั่นคง มีสมาคมเกษตรส่งเสริม มีการจัดตั้งแบรนด์หน่อไม้ฝรั่งของสมาคมเอง ชื่อ “หงเจียงจวีน紅將軍” เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในท้องตลาด