
Sign up to save your podcasts
Or
สถานีปรับปรุงพันธุ์พืชเกาสง พัฒนาปลูกเสาวรสนอกฤดูกาล ผลผลิตงาม ราคาดี แมลงศัตรูพืชน้อย
เสาวรส ภาษาจีนเรียกว่า “ไป่เซียงกั่ว百香果” หมายถึง “ผลไม้หอมร้อยกลิ่น” ทั้งนี้ เมื่อนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ จะมีกลิ่นหอมของผลไม้มากกว่า 130 กลิ่น ดังนั้น จึงได้รับฉายาว่า “ราชาแห่งน้ำผลไม้果汁之王” ถือเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่เป็นตัวเลือกที่ดีของคนที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 3 วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี ที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีวิตามินซีสูงถึง 32 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม กล่าวได้ว่า เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพทั้งหลายที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสามารถนำมาดัดแปลงได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ โรงงานแปรรูปอาหาร สร้างมูลค่ามหาศาล ยกตัวอย่าง นำมาใช้ในเครื่องดื่มชงสดบรรจุแก้วที่สร้างโอกาสธุรกิจมากกว่าหนึ่งแสนล้านเหรียญไต้หวัน/ปี
ใช้ใช้เทคนิกการตัดเรือนยอดให้อากาศถ่ายเทได้ดี
เสาวรส เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบทวีปอเมริกาใต้ ลักษณะผลเป็นทรงกลม ผลอ่อนมีสีเขียว ส่วนผลที่สุกแล้วจะมีหลายสีตามแต่ละสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสีม่วง สีเหลือง และสีส้ม รสชาติเสาวรสจะออกเปรี้ยวจัด บางสายพันธุ์มีรสออกหวาน และมีเมล็ดจำนวนมาก ชั้นในสุดของเปลือกเป็นเยื่อสีขาวที่เรียกรก ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก อยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นถุง สำหรับในไต้หวัน แหล่งปลูกเสาวรสที่สำคัญอยู่ที่เมืองหนานโถว โดยฤดูกาลของเสาวรสที่มีผลผลิตมากจะอยู่ระหว่างเดือนกรกฏาคมจนถึงเดือนมกราคมปีถัดไป แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายนถือเป็นช่วงนอกฤดูกาลที่มีผลผลิตน้อย ดังนั้น สถานีปรับปรุงพันธุ์พืชเขตเกาสงอาศัยสภาพอากาศแห้งและอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวในพื้นที่ของเมืองเกาสงและผิงตง โดยใช้ไฟส่องและใช้เทคนิกการตัดเรือนยอด เพื่อให้เสาวรสออกผลในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ราคาขายดีกว่าช่วงฤดูกาลเสียอีก ส่วนพื้นที่เพาะปลูกเสาวรสในไต้หวันมีประมาณ 809 เฮกตาร์ ปลูกมากที่สุดอยู่ที่เมืองหนานโถวในเนื้อที่ 604 เฮกตาร์ แต่ละปีมีผลผลิตประมาณ 25,000 ตัน มูลค่าของผลไม้สดสูงถึง 1,400 ล้านเหรียญไต้หวัน เสาวรสเป็นพืชล้มลุกที่มีเถาเลื้อยและมีอายุหลายปี แต่เนื่องจากติดเชื้อโรคไวรัสง่าย ดังนั้นการปลูกเสาวรสในไต้หวันจะนิยมเปลี่ยนต้นกล้าใหม่ทุกปี หลี่เหวินหาว(李文豪) ผู้ช่วยวิจัยสถานีปรับปรุงพันธุ์พืชเกาสงบอกว่า ฤดูหนาวจะมีแสงอาทิตย์ส่องที่สั้นกว่า ทำให้เสาวรสไม่ออกดอก จึงต้องใช้หลอดไฟส่องในช่วงกลางคืนเพื่อกระตุ้นให้เสาวรสออกดอก โดยจะใช้หลอดไฟส่องในช่วงก่อนและหลังเทศกาลตงจื้อประมาณหนึ่งเดือนครึ่ง แต่ละคืนส่องด้วยหลอดไฟนานประมาณ 4 ชม.จากนั้นทำการปรับแต่งเรือนยอดของเสาวรสเพื่อไม่ให้บังแสง ให้อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อนำมาสังเคราะห์ใช้ในการเจริญเติบโต เนื่องจากช่วงหน้าหนาวพื้นที่ในเขตเกาสงและผิงตงมีปริมาณฝนตกน้อย อากาศแห้ง เชื้อโรคมารังควานเสาวรสน้อย แต่ก็ยังมีแมลงศัตรูมาทำลาย อย่างเช่นแมลงวันผลไม้หรือแมลงวันทอง (fruit flies) และเพื่อป้องกันแมลงวันผลไม้ ทางสถานีปรับปรุงพันธุ์ได้ปลูกในโรงเรือนตาข่ายที่ช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลงด้วย หลี่เหวินหาวยังบอกด้วยว่า การปลูกเสาวรสในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นอกจากจะเพิ่มต้นทุนของอุปกรณ์ที่ติดตั้ง แต่หลักๆ แล้วอยู่ที่ค่าแรงคนที่ช่วยผสมเกสรและการตัดแต่งกิ่ง แต่ว่าการปลูกเสาวรสในโรงเรือนตาข่าย ถ้าใช้ผึ้งช่วยผสมเกสรก็จะช่วยลดต้นทุนของค่าแรงได้ และหลังจากที่เกษตรกรอาศัยผึ้งผสมเกสรแล้วค่อยใช้คนผสมเกสรเพิ่มเติม ก็จะช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นด้วย
ใช้ไฟส่องในช่วงก่อนและหลังเทศกาลตงจื้อประมาณ 1.5 เดือน
ไช่เหวยเฉิง(蔡濰丞) ผู้จัดการบริษัทต้นกล้าหงผู่ที่เพาะเลี้ยงต้นกล้ามะเขือเทศบอกว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากอยากจะทำธุรกิจขายต้นกล้าเสาวรส จึงเริ่มศึกษาวิธีการเพาะต้นกล้าเสาวรส แต่ว่าในปีแรก เขาเลียนแบบการเพาะต้นกล้าตามวิธีการเพาะปลูกเสาวรสในภาคกลาง พอถึงช่วงหน้าร้อนที่ฝนตกชุกก็ทำให้เสียหายทั้งหมด ดังนั้นเมื่อ 2 ปีก่อนจึงไปขอคำปรึกษาสถานีปรับปรุงพันธุ์พืชเขตเกาสง หันมาเพาะเสาวรสแบบวิธีการที่ใช้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นายไช่เหวยเฉิงยังบอกด้วยว่า ปลูกเสาวรสช่วงฤดูใบไม้ผลิจะติดเชื้อน้อย มีประสิทธิภาพสูง เพราะว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่ฤดูกาลของเสาวรส ขายได้ราคาดี ราคาขายส่งเฉลี่ยกิโลกรัมละ 100 กว่าเหรียญไต้หวัน ราคาดีเทียบเท่ากับการปลูกเสาวรสเกรดดีที่สุดในช่วงฤดูกาลของทางภาคกลาง อย่างปีที่แล้วเขาสามารถขายเสาวรสเกรดพรีเมี่ยมราคาขายส่งกิโลกรัมละ 225 เหรียญไต้หวัน ถือว่าราคาสูงมาก และได้ผลกำไรงาม ดังนั้นในปีนี้จะขยายพื้นที่เพาะปลูกเสาวรสในโรงเรือนตาข่ายเพิ่ม
ปลูกเสาวรสในโรงเรือนตาข่าย ใช้ผึ้งช่วยผสมเกสร
เสาวรสเป็นผลไม้ที่รับประทานได้ทั้งผลสุก หรือนำไปดัดแปลงเป็นน้ำผลไม้ หรือนำไปแปรรูปต่างๆ แต่ที่ผ่านมา ค่าแรงในการแปรรูปครองสัดส่วนต้นทุน 15-20% หากใช้แรงงานคนในการคว้านเนื้อเสาวรสต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 11 เหรียญไต้หวัน ส่วนการใช้เครื่องจักรดั้งเดิมจะทำให้เปลือก น้ำ เนื้อ ของเสาวรสปนกันจนส่งผลต่อรสชาติ ยิ่งถ้าเปลือกเสาวรสมียาฆ่าแมลง หรือสกปรก ก็อาจส่งผลต่อน้ำเสาวรสที่คั้นได้ จนทำให้ผู้ประกอบการหลายแห่งหันมาใช้แรงงานคนแทนเครื่องจักรดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถาบันวิจัยทางการเกษตรได้พัฒนาเครื่องจักรคว้านเสาวรสแทนเครื่องจักรดั้งเดิม สามารถลดต้นทุนค่าแรง มีประสิทธิภาพการคว้านสูงถึง 98% ทั้งนี้ เครื่องจักรที่ทางสถาบันวิจัยทางการเกษตรพัฒนา จะใช้เครื่องจักรตัดส่วนบนของเสาวรสให้เป็นรู จากนั้นใช้ท่อสุญญกาศดูดเนื้อและน้ำของเสาวรส ขณะเดียวกันแรงดันสูงในท่อจะทำให้เยื่อและเนื้อของเสาวรสหลุด สามารถดูดเอาเนื้อและน้ำของเสาวรสได้หมด และไม่มีปัญหาเรื่องการติดเชื้อเหมือนเครื่องจักรแบบดั้งเดิมด้วย ชิวเซียงเหวิน(邱相文) รองนักวิจัยสถาบันวิจัยทางการเกษตรชี้ว่า เนื่องจากปัจจุบันที่มีการใช้แรงงานคนในการคว้านเนื้อและน้ำเสาวรสที่ต้องการความเร่งด่วน มักใช้มีดปาดส่วนบนของผลเสาวรสนิดหน่อย จากนั้นคว้านเอาเนื้อและน้ำในส่วนที่ใหญ่กว่า โดยทิ้งส่วนบนที่เล็กกว่า เพราะฉะนั้นการคว้านแบบนี้จะได้เนื้อและน้ำเสาวรสประมาณ 75% เท่านั้น ส่วนที่เหลือถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย แต่ถ้าใช้เครื่องจักรแบบใหม่ที่ทางสถาบันวิจัยพัฒนาจะมีประสิทธิภาพสูง เครื่องจักรดูดน้ำและเนื้อเสาวรสหนึ่งผลใช้เวลาประมาณ 20 วินาที แม้ใช้แรงงานคว้านเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น แต่การใช้เครื่องจักรที่มีสายดูด 4 สายก็จะใช้เวลาเท่ากับแรงงาน 1 คน และจำนวนของสายดูดสามารถเพิ่มได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้น เครื่องจักรนี้จึงเหมาะกับผู้ประกอบการแปรรูปอาหาร หรือว่าผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มชงสดบรรจุแก้วหรือโส่วเหยาอิ่นเลี่ยว ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ขณะนี้ผ่านการจดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้ว ราคาของเครื่องจักรแบบพื้นฐานที่มีสายดูด 2 สายประมาณ 280,000 เหรียญไต้หวัน และปัจจุบันมีผู้ประกอบการอาหาร โรงงานผลิตน้ำผลไม้ได้ซื้อไปใช้แล้วด้วย
สถาบันวิจัยทางการเกษตรพัฒนาเครื่องจักรใช้ท่อสุญญกาศดูดเนื้อและน้ำของเสาวรส
สถานีปรับปรุงพันธุ์พืชเกาสง พัฒนาปลูกเสาวรสนอกฤดูกาล ผลผลิตงาม ราคาดี แมลงศัตรูพืชน้อย
เสาวรส ภาษาจีนเรียกว่า “ไป่เซียงกั่ว百香果” หมายถึง “ผลไม้หอมร้อยกลิ่น” ทั้งนี้ เมื่อนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ จะมีกลิ่นหอมของผลไม้มากกว่า 130 กลิ่น ดังนั้น จึงได้รับฉายาว่า “ราชาแห่งน้ำผลไม้果汁之王” ถือเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่เป็นตัวเลือกที่ดีของคนที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ หากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 3 วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี ที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีวิตามินซีสูงถึง 32 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม กล่าวได้ว่า เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพทั้งหลายที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสามารถนำมาดัดแปลงได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ โรงงานแปรรูปอาหาร สร้างมูลค่ามหาศาล ยกตัวอย่าง นำมาใช้ในเครื่องดื่มชงสดบรรจุแก้วที่สร้างโอกาสธุรกิจมากกว่าหนึ่งแสนล้านเหรียญไต้หวัน/ปี
ใช้ใช้เทคนิกการตัดเรือนยอดให้อากาศถ่ายเทได้ดี
เสาวรส เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบทวีปอเมริกาใต้ ลักษณะผลเป็นทรงกลม ผลอ่อนมีสีเขียว ส่วนผลที่สุกแล้วจะมีหลายสีตามแต่ละสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสีม่วง สีเหลือง และสีส้ม รสชาติเสาวรสจะออกเปรี้ยวจัด บางสายพันธุ์มีรสออกหวาน และมีเมล็ดจำนวนมาก ชั้นในสุดของเปลือกเป็นเยื่อสีขาวที่เรียกรก ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก อยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นถุง สำหรับในไต้หวัน แหล่งปลูกเสาวรสที่สำคัญอยู่ที่เมืองหนานโถว โดยฤดูกาลของเสาวรสที่มีผลผลิตมากจะอยู่ระหว่างเดือนกรกฏาคมจนถึงเดือนมกราคมปีถัดไป แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายนถือเป็นช่วงนอกฤดูกาลที่มีผลผลิตน้อย ดังนั้น สถานีปรับปรุงพันธุ์พืชเขตเกาสงอาศัยสภาพอากาศแห้งและอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวในพื้นที่ของเมืองเกาสงและผิงตง โดยใช้ไฟส่องและใช้เทคนิกการตัดเรือนยอด เพื่อให้เสาวรสออกผลในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ราคาขายดีกว่าช่วงฤดูกาลเสียอีก ส่วนพื้นที่เพาะปลูกเสาวรสในไต้หวันมีประมาณ 809 เฮกตาร์ ปลูกมากที่สุดอยู่ที่เมืองหนานโถวในเนื้อที่ 604 เฮกตาร์ แต่ละปีมีผลผลิตประมาณ 25,000 ตัน มูลค่าของผลไม้สดสูงถึง 1,400 ล้านเหรียญไต้หวัน เสาวรสเป็นพืชล้มลุกที่มีเถาเลื้อยและมีอายุหลายปี แต่เนื่องจากติดเชื้อโรคไวรัสง่าย ดังนั้นการปลูกเสาวรสในไต้หวันจะนิยมเปลี่ยนต้นกล้าใหม่ทุกปี หลี่เหวินหาว(李文豪) ผู้ช่วยวิจัยสถานีปรับปรุงพันธุ์พืชเกาสงบอกว่า ฤดูหนาวจะมีแสงอาทิตย์ส่องที่สั้นกว่า ทำให้เสาวรสไม่ออกดอก จึงต้องใช้หลอดไฟส่องในช่วงกลางคืนเพื่อกระตุ้นให้เสาวรสออกดอก โดยจะใช้หลอดไฟส่องในช่วงก่อนและหลังเทศกาลตงจื้อประมาณหนึ่งเดือนครึ่ง แต่ละคืนส่องด้วยหลอดไฟนานประมาณ 4 ชม.จากนั้นทำการปรับแต่งเรือนยอดของเสาวรสเพื่อไม่ให้บังแสง ให้อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อนำมาสังเคราะห์ใช้ในการเจริญเติบโต เนื่องจากช่วงหน้าหนาวพื้นที่ในเขตเกาสงและผิงตงมีปริมาณฝนตกน้อย อากาศแห้ง เชื้อโรคมารังควานเสาวรสน้อย แต่ก็ยังมีแมลงศัตรูมาทำลาย อย่างเช่นแมลงวันผลไม้หรือแมลงวันทอง (fruit flies) และเพื่อป้องกันแมลงวันผลไม้ ทางสถานีปรับปรุงพันธุ์ได้ปลูกในโรงเรือนตาข่ายที่ช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลงด้วย หลี่เหวินหาวยังบอกด้วยว่า การปลูกเสาวรสในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นอกจากจะเพิ่มต้นทุนของอุปกรณ์ที่ติดตั้ง แต่หลักๆ แล้วอยู่ที่ค่าแรงคนที่ช่วยผสมเกสรและการตัดแต่งกิ่ง แต่ว่าการปลูกเสาวรสในโรงเรือนตาข่าย ถ้าใช้ผึ้งช่วยผสมเกสรก็จะช่วยลดต้นทุนของค่าแรงได้ และหลังจากที่เกษตรกรอาศัยผึ้งผสมเกสรแล้วค่อยใช้คนผสมเกสรเพิ่มเติม ก็จะช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นด้วย
ใช้ไฟส่องในช่วงก่อนและหลังเทศกาลตงจื้อประมาณ 1.5 เดือน
ไช่เหวยเฉิง(蔡濰丞) ผู้จัดการบริษัทต้นกล้าหงผู่ที่เพาะเลี้ยงต้นกล้ามะเขือเทศบอกว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากอยากจะทำธุรกิจขายต้นกล้าเสาวรส จึงเริ่มศึกษาวิธีการเพาะต้นกล้าเสาวรส แต่ว่าในปีแรก เขาเลียนแบบการเพาะต้นกล้าตามวิธีการเพาะปลูกเสาวรสในภาคกลาง พอถึงช่วงหน้าร้อนที่ฝนตกชุกก็ทำให้เสียหายทั้งหมด ดังนั้นเมื่อ 2 ปีก่อนจึงไปขอคำปรึกษาสถานีปรับปรุงพันธุ์พืชเขตเกาสง หันมาเพาะเสาวรสแบบวิธีการที่ใช้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นายไช่เหวยเฉิงยังบอกด้วยว่า ปลูกเสาวรสช่วงฤดูใบไม้ผลิจะติดเชื้อน้อย มีประสิทธิภาพสูง เพราะว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่ฤดูกาลของเสาวรส ขายได้ราคาดี ราคาขายส่งเฉลี่ยกิโลกรัมละ 100 กว่าเหรียญไต้หวัน ราคาดีเทียบเท่ากับการปลูกเสาวรสเกรดดีที่สุดในช่วงฤดูกาลของทางภาคกลาง อย่างปีที่แล้วเขาสามารถขายเสาวรสเกรดพรีเมี่ยมราคาขายส่งกิโลกรัมละ 225 เหรียญไต้หวัน ถือว่าราคาสูงมาก และได้ผลกำไรงาม ดังนั้นในปีนี้จะขยายพื้นที่เพาะปลูกเสาวรสในโรงเรือนตาข่ายเพิ่ม
ปลูกเสาวรสในโรงเรือนตาข่าย ใช้ผึ้งช่วยผสมเกสร
เสาวรสเป็นผลไม้ที่รับประทานได้ทั้งผลสุก หรือนำไปดัดแปลงเป็นน้ำผลไม้ หรือนำไปแปรรูปต่างๆ แต่ที่ผ่านมา ค่าแรงในการแปรรูปครองสัดส่วนต้นทุน 15-20% หากใช้แรงงานคนในการคว้านเนื้อเสาวรสต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 11 เหรียญไต้หวัน ส่วนการใช้เครื่องจักรดั้งเดิมจะทำให้เปลือก น้ำ เนื้อ ของเสาวรสปนกันจนส่งผลต่อรสชาติ ยิ่งถ้าเปลือกเสาวรสมียาฆ่าแมลง หรือสกปรก ก็อาจส่งผลต่อน้ำเสาวรสที่คั้นได้ จนทำให้ผู้ประกอบการหลายแห่งหันมาใช้แรงงานคนแทนเครื่องจักรดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถาบันวิจัยทางการเกษตรได้พัฒนาเครื่องจักรคว้านเสาวรสแทนเครื่องจักรดั้งเดิม สามารถลดต้นทุนค่าแรง มีประสิทธิภาพการคว้านสูงถึง 98% ทั้งนี้ เครื่องจักรที่ทางสถาบันวิจัยทางการเกษตรพัฒนา จะใช้เครื่องจักรตัดส่วนบนของเสาวรสให้เป็นรู จากนั้นใช้ท่อสุญญกาศดูดเนื้อและน้ำของเสาวรส ขณะเดียวกันแรงดันสูงในท่อจะทำให้เยื่อและเนื้อของเสาวรสหลุด สามารถดูดเอาเนื้อและน้ำของเสาวรสได้หมด และไม่มีปัญหาเรื่องการติดเชื้อเหมือนเครื่องจักรแบบดั้งเดิมด้วย ชิวเซียงเหวิน(邱相文) รองนักวิจัยสถาบันวิจัยทางการเกษตรชี้ว่า เนื่องจากปัจจุบันที่มีการใช้แรงงานคนในการคว้านเนื้อและน้ำเสาวรสที่ต้องการความเร่งด่วน มักใช้มีดปาดส่วนบนของผลเสาวรสนิดหน่อย จากนั้นคว้านเอาเนื้อและน้ำในส่วนที่ใหญ่กว่า โดยทิ้งส่วนบนที่เล็กกว่า เพราะฉะนั้นการคว้านแบบนี้จะได้เนื้อและน้ำเสาวรสประมาณ 75% เท่านั้น ส่วนที่เหลือถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย แต่ถ้าใช้เครื่องจักรแบบใหม่ที่ทางสถาบันวิจัยพัฒนาจะมีประสิทธิภาพสูง เครื่องจักรดูดน้ำและเนื้อเสาวรสหนึ่งผลใช้เวลาประมาณ 20 วินาที แม้ใช้แรงงานคว้านเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น แต่การใช้เครื่องจักรที่มีสายดูด 4 สายก็จะใช้เวลาเท่ากับแรงงาน 1 คน และจำนวนของสายดูดสามารถเพิ่มได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้น เครื่องจักรนี้จึงเหมาะกับผู้ประกอบการแปรรูปอาหาร หรือว่าผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มชงสดบรรจุแก้วหรือโส่วเหยาอิ่นเลี่ยว ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ขณะนี้ผ่านการจดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้ว ราคาของเครื่องจักรแบบพื้นฐานที่มีสายดูด 2 สายประมาณ 280,000 เหรียญไต้หวัน และปัจจุบันมีผู้ประกอบการอาหาร โรงงานผลิตน้ำผลไม้ได้ซื้อไปใช้แล้วด้วย
สถาบันวิจัยทางการเกษตรพัฒนาเครื่องจักรใช้ท่อสุญญกาศดูดเนื้อและน้ำของเสาวรส