ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง - นำนั่งสมาธิเบื้องต้น โดย หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย. ดาวทิ้งฟ้ามาอยู่ในอู่กาย
ซ้อนเรียงรายกลายเป็นหนทางขาว
อริยะผุดผ่านเส้นทางดาว
ตั้งแต่เช้ายันค่ำฉ่ำชื่นใจ
ตะวันธรรม
(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ........)
...ตอนดับ คือ ตอนตาย จะมาเริ่มต้นตายตรงฐานที่ ๗
เมื่อถึงคราวหมดอายุขัยหรือหมดบุญ ซึ่งมีหลักวิชชาอยู่ว่า
ถ้าจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป
ถ้าจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป
นี่คือหลักวิชชาความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบมา
เมื่อเราทุกคนต้องตาย เราจึงจำเป็นจะต้องศึกษาเอาไว้
เพราะว่าตายแล้วไม่ได้สูญหายไปแค่ที่เราเห็นภาพที่เชิงตะกอน
หรือในสุสาน ในป่าช้าที่เขาประชุมเพลิงกัน ไม่ใช่แค่นั้น แต่ยัง
มีชีวิตหลังความตายอีก ซึ่งจะเริ่มต้นตรงฐานที่ ๗
ถ้าตายไม่เป็นอันตราย เพราะเมื่อชีวิตไปอยู่ปรโลก
สุขทุกข์ในปรโลกนั้นยาวนานเหลือเกิน มากกว่าชีวิตตอนที่
เป็นมนุษย์ ถ้าสุขก็สุขนาน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านปี เป็น
หลายๆล้านปีและถ้าทุกข์ก็ทุกข์นานในทำนองเดียวกันแต่
ทุกข์จะนานกว่าความสุข อย่างเช่น อายุขัยของสวรรค์ชั้นที่ ๑
เท่ากับแค่ ๑ วัน ๑ คืนของนรกขุมที่ ๑ นี่มันเป็นอย่างนี้ เรา
จึงจำเป็นจะต้องศึกษาเอาไว้ แล้วก็ต้องจำ แล้วก็ต้องทำให้ได้
ทีนี้ความใสกับหมอง มันอยู่ที่ใจของเรา กับการกระทำ
ที่เราทำผ่านมาตอนยังแข็งแรงอยู่ ถ้าทำบุญใจก็ใส ทำบาปใจ
ก็หมอง
บุญที่เกิดจากการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น
จะเป็นเหตุให้ใจใส เวลาใจใส ถ้าใสเต็มส่วนเต็มที่จะเห็นเป็น
ดวงใสๆ ปรากฏเกิดขึ้นในกลางกายของเรา ใสเหมือนเพชร
เหมือนน้ำ เหมือนกระจก หรือยิ่งกว่านั้น มันใสเกินใส ถ้าเห็น
อย่างนี้มั่นใจได้ว่าปิดประตูอบายไปสวรรค์ได้อย่างแน่นอน
หรือใสในอีกระดับหนึ่งคือรู้สึกปลื้มในกุศลธรรมความดี
ที่เราทำผ่านมา ก็จะมีภาพการทำความดีมาปรากฏให้เห็นตรงนี้
ซึ่งจะนำความปีติและภาคภูมิใจมาให้
คำว่า “ตรงนี้” ไม่ใช่ว่ามีพื้นที่แคบๆ แค่ภายในบริเวณ
ท้องนะ คือเห็น ณ ตรงนี้ แต่เวลาเห็น เราจะเห็นเป็นเรื่องเป็น
ราว มันกว้างเหมือนชีวิตจริงที่ปรากฏเกิดขึ้นอย่างนั้น เขาเรียกว่า
“กรรมนิมิต” และหลังจากนั้นก็จะเห็นเป็น “คติ” คือ หนทาง
ที่จะไป
พอเห็นภาพของการกระทำก็จะเห็นหนทางที่จะไป แล้ว
เวลาไปก็จะเริ่มจากฐานที่ ๗ ไปฐานที่ ๖ (กลางท้อง) ไปฐาน
ที่ ๕ (ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก) ฐานที่๔ (เพดานปาก
ที่อาหารสำลัก) ฐานที่๓ (กลางกั๊กศีรษะระดับเดียวกับหัวตา)
ฐานที่ ๒ (ที่หัวตา หญิงซ้าย ชายขวา) ฐานที่๑ (ปากช่อง
จมูก หญิงซ้าย ชายขวา) แล้วก็ออกไปเกิดกันใหม่ ไปเกิดเป็น
อะไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะเริ่มต้นตรงนี้แหละ
เพราะฉะนั้น ความใสสำคัญนะ ต้องทำให้มีให้เป็นขึ้นมา
หรืออยากจะไปนิพพาน ก็ต้องเริ่มต้นตรงนี้ ต่างแต่ว่าต้อง
เดินเข้าไปสู่ภายในเรื่อยๆ ใจของเราที่แวบไปแวบมาจะต้องมา
หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งแต่เดิมเราไม่เห็นอะไรเลย
พอนิ่งถูกส่วน มันจะโล่ง ว่าง โปร่ง เบา สบาย ตัวจะขยายออก
ไป แล้วใจก็จะตกศูนย์วูบลงไป มีดวงใสๆ ลอยขึ้นมาอยู่กลาง
ท้อง เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ดวงจะกลมๆ เหมือนดวง
แก้วที่เจียระไนแล้ว
อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางขนาดพระจันทร์วันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้น
ตามกำลังบารมี
หรือโตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ กลมใสบริสุทธิ์ปรากฏ
เกิดขึ้นในกลางกาย แล้วใจก็จะอยู่ตรงนั้น หยุดนิ่งเป็นอัปปนา
สมาธิ ไม่เขยื้อน ไม่ไปไหนเลย คือ มันแนบแน่น นิ่งแน่น แล้ว
ดวงจะขยายออกไป มีดวงใหม่เกิดขึ้นทีละดวง ทีละดวง มี ๖
ดวง กลมเหมือนกัน แต่ว่าใสบริสุทธิ์ต่างกัน
ดวงแรกพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ เรียกว่า ดวงธัมมา
นุปัสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรค และดวงที่ซ้อนกันอยู่
ภายในถัดไป คือดวงก่อนจะขยายแล้วจุดกึ่งกลางของดวงนั้น
จะขยายมาเป็นดวงถัดไป ท่านเรียกว่า ดวงศีล
ในกลางดวงศีลมี ดวงสมาธิ
ในกลางดวงสมาธิมี ดวงปัญญา
ในกลางดวงปัญญามี ดวงวิมุตติ
ในกลางดวงวิมุติมี ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จะผุดจาก
กลางดวงนั่นแหละ จุดเล็กๆ กลางดวงขยายมาเป็นดวง
ในกลางดวงวิมุติญาณทัสสนะ ดวงที่ ๖ จุดตรงกลางแทนที่
จะขยายเป็นดวงกลับเป็น กายมนุษย์ละเอียด ปรากฏเกิดขึ้น
หน้าตาเหมือนตัวเราเลย ท่านหญิงก็เหมือนท่านหญิง ท่าน
ชายก็เหมือนท่านชาย นั่งขัดสมาธิเจริญสมาธิภาวนา กายตรง
ไม่นั่งหลังงอ สง่างามกว่ากายหยาบ แล้วก็ดูสดใสกว่า
เบื้องต้นก็จะเป็นกายเล็กๆ ต่อไปก็ขยายเต็มส่วนก็เหมือน
ตัวเราอย่างนั้นแหละ แต่สุกใสกว่า กายนี้เรียกว่า กายมนุษย์
ละเอียด ที่เรียกกายมนุษย์ละเอียดก็เพราะเหมือนกายมนุษย์
หยาบ แต่ว่าละเอียดเหมือนเราส่องกระจก กายในกระจกจะ
ละเอียดกว่ากายที่ยืนหน้ากระจก
อีกนัยหนึ่ง เขาเรียกว่า กายฝัน หรือกายไปเกิดมาเกิด